การตั้งครรภ์ สิ่งที่คุณแม่มือใหม่ควรรู้เพื่อสุขภาพลูกน้อยและตัวเอง

24 ม.ค. 2568 | เขียนโดย

การตั้งครรภ์ สิ่งที่คุณแม่มือใหม่ควรรู้เพื่อสุขภาพลูกน้อยและตัวเอง

การตั้งครรภ์ ถือว่าเป็นช่วงเวลาอันแสนพิเศษที่ร่างกายของผู้หญิงเกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับชีวิตน้อย ๆ ในครรภ์ การตรวจสุขภาพแม่และเด็กในช่วงนี้จึงมีความสำคัญมาก เพราะไม่เพียงแต่เพื่อสุขภาพของแม่ แต่ยังส่งผลต่อไปถึงพัฒนาการของลูกน้อยในอนาคตอีกด้วย ในวันนี้เราจะพาคุณแม่มือใหม่ไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ตั้งแต่เริ่มต้น ระยะเวลาครรภ์และการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย  พัฒนาการของทารก การดูแลตนเอง และสิ่งที่ควรระวัง เพื่อให้คุณแม่ทุกคนสามารถดูแลตัวเองและลูกน้อยได้อย่างดีที่สุด

 

การตั้งครรภ์คืออะไร?

การตั้งครรภ์ คือ ช่วงเวลาที่ไข่ของผู้หญิงได้รับการปฏิสนธิจากอสุจิของผู้ชาย และเริ่มเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อนในมดลูก ซึ่งจะพัฒนาเป็นทารกในที่สุด ระยะเวลาการตั้งครรภ์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 40 สัปดาห์ หรือประมาณ 9 เดือน

 

ระยะการตั้งครรภ์ (Trimester) และพัฒนาการของทารก

ระยะการตั้งครรภ์ (Trimester) และพัฒนาการของทารก แบ่งออกได้ทั้งหมด 3 ไตรมาส ซึ่งแต่ละไตรมาสมีความเสี่ยงแตกต่างกันออกไป ดังนี้

 

ไตรมาสที่ 1 (1-12 สัปดาห์) 

ไตรมาสที่ 1 หรือ อายุครรภ์ 1-3 เดือนแรก จะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง เช่น ประจำเดือนขาด อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เต้านมคัดเจ็บและขยายใหญ่ขึ้น น้ำหนักเพิ่มอยู่ประมาณ 1-3 กิโลกรัม รวมถึงอาจจะมีอาการแพ้ท้อง เช่น อาเจียน คลื่นไส้ จากฮอร์โมนที่เพิ่มสูงขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว ระยะนี้จะทานอาหารได้น้อยลง ส่งผลให้เด็กในครรภ์ไม่ได้รับสารอาหารบำรุงสมองอย่างเพียงพอ 

โดยในช่วงเดือนที่ 2 เป็นช่วงที่สำคัญมาก ๆ เพราะทารกจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้นทุกสิ่งที่แม่รับประทาน หรือสิ่งแวดล้อม มีผลต่อการเจริญเติบโตโดยตรง หากเด็กได้รับผลกระทบ สามารถพิการได้ เดือนที่ 2 เด็กจะเริ่มสร้างตา แขน ขา และนิ้วมือ ในบางครั้งหากคุณแม่ไปอัลตราซาวด์ อาจจะได้ยินเสียงหัวใจของทารกด้วย

 

ไตรมาสที่ 2 (13-26 สัปดาห์) 

ไตรมาสที่ 2 (13-26 สัปดาห์) ช่วงอายุครรภ์ 4-6 เดือน ทารกจะอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม และโตเป็น 3-4 เท่า จะเริ่มสร้างเม็ดเลือดแดง สร้างอวัยวะภายในร่างกาย มีการนอนและตื่นเป็นเวลา ลักษณะของทารกจะมีความใกล้เคียงกันเด็กตัวเล็กมากขึ้น ระยะนี้คุณแม่จะรู้สึกสบายกว่าช่วงแรก เพราะอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้ ในตอนเริ่มต้นจะไม่ได้เป็นแล้ว ที่สำคัญที่สุดในช่วงนี้ คือ คุณแม่จะสามารถสัมผัสได้ว่าตัวทารกมีการขยับ มีการเคลื่อนไหว เรียกว่าเป็นช่วงเวลารอคอยที่คุ้มค่าสุด ๆ

 

ไตรมาสที่ 3 (27-40 สัปดาห์) 

ไตรมาสที่ 3 (27-40 สัปดาห์) ช่วงอายุครรภ์ 7-9 เดือน เมื่อเข้าสู่ไตรมาสสุดท้าย คุณแม่จะมีอาการหายใจ ลุกนั่งลำบาก มีอาการบวม เหนื่อยง่าย ช่วงนี้ควรระวังเรื่องภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง มีปัญหาน้ำคร่ำ หรือแม้กระทั่งการเป็นตะคริว ในขณะที่ทารกจะมีการพัฒนาของสมองและระบบประสาทได้อย่างเต็มที่ รวมถึงสามารถรับแสง เสียง และรับความเจ็บปวดได้ด้วย ในช่วงอายุครรภ์ที่ 37-42 สัปดาห์ เด็กจะสามารถคลอดได้ตลอด ดังนั้นในไตรมาสนี้นอกจากเตรียมความพร้อมด้านร่างกายแล้ว ต้องเตรียมต้อนรับทารกที่กำลังจะลืมตาดูโลกด้วยนั่นเอง

 

การดูแลสุขภาพในระหว่างตั้งครรภ์ 

การดูแลสุขภาพในระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อให้ทารกได้มีพัฒนาการที่เป็นไปตามธรรมชาติ เติบโตไปเป็นเด็กที่สุขภาพแข็งแรง สามารถทำได้ดังนี้

  • เลือกฝากครรภ์ทันทีกับสูตินรีแพทย์ที่มีความชำนาญในการดูแลครรภ์
  • หากจำเป็นต้องใช้ยาตัวเดิมต่อเนื่องจากปัญหาสุขภาพของคุณแม่ หรือได้รับยาตัวใหม่ ให้ปรึกษาหมอสูติที่ฝากครรภ์ทุกครั้ง
  • รับประทาน Vitamin ที่มีกรดโฟลิกอย่างน้อยวันละ 0.4-0.8 มิลลิกรัม
  • หากอายุครรภ์ครบ 28 สัปดาห์ คุณแม่ควรหมั่นสั่งเกตการเคลื่อนไหวของทารกในทุก ๆ วัน หากพบความผิดปกติควรรีบเข้ามาพบแพทย์
  • ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อสุขภาพที่ดีของแม่และทารก
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อสุขภาพกาย สุขภาพใจที่ดีระหว่างตั้งครรภ์
  • หากเป็นไปได้ ควรมาตามนัดที่แพทย์สูติเป็นผู้นัดทุกครั้ง เพื่อมาดูพัฒนาการ และตรวจเช็กความผิดปกติของครรภ์

 

การตั้งครรภ์ อันตรายไหม

สัญญาณที่ควรพบแพทย์ระหว่างตั้งครรภ์ 

สัญญาณที่ควรพบแพทย์ระหว่างการตั้งครรภ์ มีดังนี้

  • มีไข้สูงกว่า 38.5 องศาเซลเซียส
  • ปวดศีรษะรุนแรง เห็นภาพพร่ามัว มองไม่ชัด
  • ข้อเท้าบวม ปัสสาวะแสบขัด
  • ปวดท้องอย่างรุนแรงเฉียบพลัน
  • ในช่วงอายุครรภ์ 28 สัปดาห์ ทารกขาดการเคลื่อนไหว หรือน้อยกว่า 3 ครั้งใน 1 ชั่วโมง
  • มีเลือดออกจากช่องคลอด มีน้ำคร่ำไหลออกจากช่องคลอดในปริมาณมาก

 

การเตรียมตัวสำหรับการคลอด

การเตรียมตัวสำหรับการคลอดถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับคุณแม่มือใหม่ สิ่งที่ควรทำจึงมี ดังนี้

  • เตรียมความพร้อมในด้านจิตใจ ทำความเข้าใจธรรมชาติของร่างกาย ว่าจะมีความเจ็บปวดเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการคลอดแบบธรรมชาติ หรือผ่าตัด
  • เตรียมของใช้จำเป็นสำหรับเด็กแรกเกิดก่อนไปโรงพยาบาล 
  • เตรียมเอกสารสำคัญที่จำเป็นสำหรับใช้ในการแจ้งเกิด
  • เตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการคลอด เช่น การอาบน้ำ สระผม ไม่สวมเครื่องประดับ ตัดเล็บมือ เล็บเท้า งดน้ำ งดอาหาร ในกรณีที่ผ่าตัด และผ่อนคลายระหว่างรอคลอด

การดูแลสุขภาพแม่และทารกหลังคลอด 

การดูแลสุขภาพแม่และทารกหลังการตั้งครรภ์ ร่างกายของแม่จะต้องฟื้นฟูและปรับตัว การดูแลสุขภาพทั้งแม่และลูกน้อยจึงมีความสำคัญมาก ๆ

  • การดูแลสุขภาพของแม่
  • พักผ่อนให้เพียงพอ : ร่างกายของคุณแม่ต้องการพักผ่อนอย่างเต็มที่เพื่อฟื้นฟูสภาพ และกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม
  • ทานอาหารที่มีประโยชน์ : กินอาหารที่มีโปรตีนสูง ผัก ผลไม้ และดื่มน้ำมาก ๆ 
  • ดูแลแผล : หากมีแผลผ่าตัด ควรทำความสะอาดแผลตามคำแนะนำของแพทย์
  • ให้นมบุตร : นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย การให้นมบุตรยังช่วยให้มดลูกหดตัวกลับเข้าอู่เร็วขึ้น
  • ตรวจสุขภาพ : ไปพบแพทย์ตามนัดหมายเพื่อตรวจสุขภาพเป็นประจำ
    • การดูแลสุขภาพของทารก
  • ให้นมบุตร : นมแม่เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบสำหรับทารกแรกเกิด
  • ดูแลสุขอนามัย : อาบน้ำให้ลูกน้อยวันละ 1 ครั้ง ทำความสะอาดสะดือ
  • ตรวจสุขภาพ : พาเด็กไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตามกำหนด

สังเกตอาการผิดปกติ : หากลูกน้อยมีไข้ ซึม อ่อนเพลีย หรือร้องไห้มากผิดปกติ ควรพาไปพบแพทย์ทันที

 

การตั้งครรภ์ ดูแลยังไง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ (FAQ)

 

คุณแม่ตั้งครรภ์ควรกินวิตามินเสริมหรือไม่? 

คุณแม่ตั้งครรภ์ควรกินวิตามินเสริม เพราะร่างกายของแม่ต้องการสารอาหารหลายชนิดเพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรดโฟลิก ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของทารกได้

 

สามารถเดินทางไกลได้หรือไม่ในช่วงตั้งครรภ์? 

สามารถเดินทางไกลได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อประเมินสภาพร่างกายและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนแรกและ 3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์

 

อาการแปลก ๆ แบบไหนที่ควรรีบพบแพทย์? 

หากคุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการผิดในข้อต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

  • มีเลือดออกจากช่องคลอด ไม่ว่าจะเป็นปริมาณมากหรือน้อย สีแดงสดหรือสีน้ำตาล
  • ปวดท้องรุนแรง โดยเฉพาะถ้าปวดแบบบีบหรือปวดท้องน้อย
  • มีน้ำเดิน มีน้ำใสๆ หรือขุ่นไหลออกจากช่องคลอด
  • ทารกดิ้นน้อยลงหรือหยุดดิ้น
  • มีไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส
  • ปวดหัวรุนแรงและมองเห็นภาพไม่ชัด
  • บวมที่มือและเท้าร่วมกับปวดศีรษะและตาพร่ามัว
  • รู้สึกหายใจไม่สะดวก หรือเหนื่อยง่ายผิดปกติ
  • ปัสสาวะขัด หรือปัสสาวะมีเลือดปน

อาการเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างตั้งครรภ์ ดังนั้นไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที

 

สรุป

สรุปได้ว่า การตั้งครรภ์ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญและน่าตื่นเต้น สำหรับพ่อแม่มือใหม่ที่อยากจะมีลูกน้อยจริง ๆ ดังนั้น เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ ลำดับถัดไปที่ควรทำทันที คือ มองหาและเลือกหมอสูตินรีแพทย์สำหรับการดูแลครรภ์ ต้องเป็นหมอที่มีประสบการณ์และความชำนาญโดยเฉพาะ และคอยรักษาสุขภาพ ทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบถ้วน สำหรับป้องกันโรคแทรกซ้อนในคุณแม่ รวมถึงควรเสริมด้วยวิตามินอย่างกรดโฟลิกเพื่อลดความเสี่ยงที่ลูกน้อยจะพิการ เมื่อครบ 3 ไตรมาสแล้ว ก็เข้าสู่กระบวนการเตรียมตัวก่อนคลอด และหลังจากวินาทีนี้ ชีวิตของพ่อแม่มือใหม่ จะเปลี่ยนไปตลอดกาล แต่รับรองเลยว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีความสุขที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้

 

 

SHARE