ปีกมดลูกอักเสบ อาการ สาเหตุ วิธีรักษา และการป้องกัน

6 พ.ค. 2568 | เขียนโดย

ปีกมดลูกอักเสบ อาการ สาเหตุ วิธีรักษา และการป้องกัน

ปีกมดลูกอักเสบ เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อระบบภายในของผู้หญิง สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งการติดเชื้อ  การอักเสบบริเวณช่องท้องที่มีผลกระทบต่อการทำงานระบบสืบพันธ์ภายใน โดยในช่วงระยะแรกอาการของโรคอาจไม่รุนแรง แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจส่งผลต่อสุขภาพภายในร่างกายได้ ดังนั้นการตรวจพบ และรักษาตั้งแต่ระยะแรกจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก วันนี้โรงพยาบาลสินแพทย์ จึงขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับภาวะปีกมดลูกอักเสบ พร้อมทั้งตามหาสาเหตุที่แท้จริง รวมถึงวิธีสังเกตอาการ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้ตรวจพบและรักษาได้อย่างรวดเร็ว ในการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาที่ส่งผลต่อสุขภาพได้ในระยะยาว

สาเหตุปีกมดลูกอักเสบ

 

ปีกมดลูกอักเสบคืออะไร?

ปีกมดลูกอักเสบ คือ ส่วนหนึ่งของโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่บริเวณปีกมดลูกข้างใดข้างหนึ่ง หรืออาจเกิดขึ้นได้พร้อมกันทั้งสองข้าง หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา การอักเสบอาจมีความรุนแรง และลุกลามไปกระทบส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ เช่น รังไข่ มดลูก และท่อนำไข่ ที่สามารถส่งผลต่อสุขภาพของระบบสืบพันธ์ุในร่างกายได้

 

สาเหตุของปีกมดลูกอักเสบ

สาเหตุของปีกมดลูกอักเสบ สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยดังต่อไปนี้

 

การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์

การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เป็นสาเหตุต้น ๆ ที่ทำให้ภาวะปีกมดลูกอักเสบ ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นจากเชื้อหนองใน (Gonorrhea) เชื้อคลาไมเดีย (Chlamydia) เชื้อไมโครพลาสมา เจนนิทัลเลียม (Mycoplasma Genitalium) เป็นต้น โดยการติดเชื้อเหล่านี้จะเกิดการลุกลามจากบริเวณช่องคลอดหรือปากมดลูก เข้าสู่บริเวณท่อมดลูก และส่งผลให้ปีกมดลูกเกิดการอักเสบในที่สุด

 

การคลอดบุตร หรือภาวะแท้งบุตร

การคลอดบุตร หรือภาวะแท้งบุตร เป็นสาเหตุที่ทำให้บริเวณปีกมดลูกเกิดการอักเสบได้ เนื่องจากในช่วงระหว่างการตั้งครรภ์ ตลอดจนการคลอดบุตรหรือแท้งบุตร ร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้ช่องคลอดมีการขยายตัว ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย และอักเสบลุกลามเข้าสู่ปีกมดลูกได้

 

การทำหัตถการทางการแพทย์

การทำหัตถการทางการแพทย์ โดยเฉพาะด้านนรีเวช เช่น การใส่ห่วงอนามัยคุมกำเนิด การขูดมดลูก และการผ่าตัดที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธ์ุ ถือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และทำให้ปีกมดลูกอักเสบได้

 

การส่วนล้างช่องคลอด 

การส่วนล้างช่องคลอด อาจเป็นการทำลายสมดุลจุลินทรีย์บริเวณช่องคลอด ทำให้แบคทีเรียที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อ เช่น Lactobacill สูญสลายไป รวมถึงเสี่ยงต่อการที่เชื้อต่าง ๆ จะกระจายตัวจากช่องคลอดหรือปากมดลูก เข้าสู่ท่อมดลูก และปีกมดลูกได้ง่ายขึ้น

 

การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย

การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การเปลี่ยนคู่นอนหลายคน รวมถึงคู่นอนมีการอักเสบหรือติดเชื้อที่บริเวณอวัยะเพศ อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อได้ในที่สุด

 

อาการของปีกมดลูกอักเสบ

อาการของปีกมดลูกอักเสบ อาจมีลักษณะที่แตกต่างกันตามแต่ละบุคคล ซึ่งโดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจะมีอาการที่บ่งบอกถึงการติดเชื้อดังต่อไปนี้

  • ปวดที่บริเวณท้องน้อย : ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดท้องที่ข้างใดข้างหนึ่ง หรืออาจรู้สึกปวดพร้อมกันทั้งสองข้าง และอาจปวดรุนแรงขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือกดที่บริเวณท้อง
  • ลักษณะตกขาวผิดปกติ : หากผู้ป่วยเกิดการติดเชื้อ อาจมีปริมาณตกขาวที่เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ รวมถึงอาจมีสี เช่น มีสีเหลือง สีเขียว และมีเลือดปน รวมทั้งมีกลิ่นที่แตกต่างไปจากเดิม
  • มีไข้สูง คลื่นไส้ และอาเจียน : หากการติดเชื้อเกิดการลุกลามเข้าสู่ท่อมดลูก อาจทำให้ผู้ป่วยมีไข้เกิดการหนาวสั่น ร่วมกับอาการคลื่นไส้ และอาเจียนได้
  • มีประจำเดือนผิดปกติ : ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ อาจประจำเดือนมามากผิดปกติ รวมถึงอาจมีเลือดออกกระปริดกระปรอยที่บริเวณช่องคลอด แม้ไม่ได้อยู่ในช่วงรอบเดือน
  • ไม่สบายตัวขณะมีเพศสัมพันธ์ : ผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดท้อง หรือปวดที่ท้องน้อย ขณะมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งเกิดขึ้นจากการอักเสบที่บริเวณท่อมดลูก

 

ภาวะแทรกซ้อนของปีกมดลูกอักเสบ

ภาวะแทรกซ้อนของปีกมดลูกอักเสบ อาจเกิดขึ้นได้หากผู้ป่วยไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัย หรือเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงทีก่อนที่ความรุนแรงของโรคจะมีการพัฒนา และกระทบต่อปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ได้ ตัวอย่างเช่น

 

ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ

ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ เกิดจากการอักเสบที่บริเวณท่อมดลูก จากนั้นมีการลุกลามเข้าสู่อวัยวะอื่น ๆ ในอุงเชิงกราน เช่น มดลูก รังไข่ และท่อนำไข่ ทำให้ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดท้องที่บริเวณท้องน้อยเรื้อรัง

 

ภาวะมีบุตรยาก

ภาวะมีบุตรยาก เป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการติดเชื้อ และอักเสบ หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้ท่อนำไข่เกิดการอุดตันหรือมีการปิดกั้น ส่งผลให้ไข่และอสุจิไม่สามารถปฏิสนธิกันได้ตามธรรมชาติ

 

การตั้งครรภ์นอกมดลูก

การตั้งครรภ์นอกมดลูก เกิดขึ้นจากการที่ท่อมดลูกมีแผล หรือเกิดเป็นพังผืด ทำให้ไข่ที่เกิดการปฏิสนธิแล้ว ไม่สามารถเคลื่อนที่ไปเพื่อฝั่งตัวที่บริเวณมดลูกได้ และเกิดการฝั่งตัวที่บริเวณท่อนำไข่แทน ซึ่งเป็นภาวะอันตรายที่ควรได้รับการรักษาในทันที

 

การอักเสบเรื้อรัง

การอักเสบเรื้อรัง หากภาวะปีกมดลูกอักเสบไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาจทำให้ผู้ป่วยต้องมีการติดเชื้อในระยะยาว และต้องพบกับความเจ็บปวดบริเวณช่องท้อง หรืออุ้งเชิงกรานขึ้นบ่อย ๆ ซึ่งอาจกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้

 

การติดเชื้อที่รุนแรง

การติดเชื้อที่รุนแรง อาจมีการแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรียไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งเป็นภาวะที่มีรุนแรง และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้ในที่สุด

โรคปีกมดลูกอักเสบ

 

การวินิจฉัยปีกมดลูกอักเสบ

การวินิจฉัยปีกมดลูกอักเสบ แพทย์อาจใช้รูปแบบการตรวจประเมินดังต่อไปนี้

  • ซักประวัติสอบถามอาการที่เกี่ยวข้องกับโรค เช่น อาการเจ็บปวด ปริมาณตกขาว หรือประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นต้น
  • ตรวจร่างกายเบื้องต้น โดยแพทย์จะทำการประเมินอาการที่อาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อ เช่น การกดบริเวณท้องน้อย แล้วผู้ป่วยเกิดความเจ็บปวดที่บริเวณปีกมดลูก
  • ตรวจเลือด แพทย์จะทำการตรวจหาการติดเชื้อ เพื่อวัดปริมาณเม็ดเลือดขาวที่บ่งชี้ถึงการติดเชื้อภายในร่างกาย
  • ตรวจภายใน แพทย์จะทำการเก็บตัวอย่างของตกขาว เพื่อสังเกตถึงความผิดปกติ
  • อัลตราซาวด์โดยการใช้คลื่นความถี่สูง เพื่อสังเกตลักษณะของอวัยวะบริเวณอุ้งเชิงกราน ซึ่งสามารถบ่งบอกถึงการติดเชื้อได้อย่างชัดเจน เช่น การเกิดฝีหรือผังพืดที่บริเวณท่อนำไข่ เป็นต้น
  • ตรวจเอกซเรย์รังสี โดยแพทย์จะทำฉีดสารทึบแสง เพื่อสังเกตดูการอุดตันที่อาจเกิดขึ้นบริเวณท่อนำไข่

 

วิธีรักษาปีกมดลูกอักเสบ

วิธีรักษาปีกมดลูกอักเสบ โดยทั่วไปแล้วแพทย์จะทำการประเมินจากความรุนแรงของอาการ และสาเหตุของการติดเชื้อ สามารถแบ่งออกเป็นรูปแบบดังนี้

  • การรักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะ : แพทย์จะทำการจ่ายยาฆ่าเชื้อให้กับผู้ป่วย สำหรับการรักษาอาการปีกมดลูกอักเสบ ที่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
  • การรักษาในโรงพยาบาล :  หากกรณีที่ผู้ป่วยมีการติดเชื้อที่รุนแรง รวมทั้งมีไข้สูง แพทย์อาจแนะนำให้รับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อสังเกตอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือด ที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การรักษาด้วยการผ่าตัด : แพทย์อาจพิจารณาวิธีการรักษาด้วยการผ่าตัด หากผู้ป่วยเกิดการดื้อยา หรืออาการไม่ดีขึ้นยังใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น การผ่าตัดส่องกล้องเพื่อระบายหนองหรือฝีออกจากปีกมดลูก เป็นต้น

 

การป้องกันปีกมดลูกอักเสบ

การป้องกันปีกมดลูกอักเสบ สามารถป้องกันได้ด้วยการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การติดเชื้อได้ ไม่ว่าจะเป็น การสวมใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งระหว่างมีเพศสัมพันธ์ การรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ภายในช่องคลอด ด้วยหลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด รวมถึงหมั่นตรวจภายในสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์

 

เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์?

เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์ เมื่อคุณมีอาการผิดปกติดังต่อไปนี้

  • หากอาการปวดที่บริเวณท้องน้อยเรื้อรังโดยมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น 
  • หากมีอาการปวดท้อง ร่วมกับการมีไข้สูง หรือรู้สึกหนาวสั่น
  • หากสังเกตได้ว่าตกขาวมีลักษณะที่ผิดปกติ เช่น มีกลิ่นหรือมีสีเปลี่ยนไป
  • หากมีเลือดออกที่บริเวณช่องคลอด โดยไม่ได้อยู่ในช่วงรอบเดือน
  • หากรู้สึกแสบขัดขณะปัสสาวะ หรือปัสสาวะบ่อยผิดปกติ

 

ป้องกันปีกมดลูกอักเสบ

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปีกมดลูกอักเสบ (FAQ)

ปีกมดลูกอักเสบมีผลต่อการตั้งครรภ์หรือไม่?

ปีกมดลูกอักเสบ สามารถส่งผลต่อการตั้งครรภ์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่ได้รับการรักษาในทันที อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ได้ เช่น การติดเชื้อที่บริเวณท่อนำไข่ และทำให้เกิดเป็นพังผืดอุดตัน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูกได้

 

อาการปีกมดลูกอักเสบในวัยรุ่น vs. ผู้หญิงวัยทอง แตกต่างกันอย่างไร?

อาการปีกมดลูกอักเสบในวัยรุ่น และผู้หญิงวัยทอง อาจมีความแตกต่างกันจากสาเหตุของการเกิดโรค โดยในวัยรุ่นมักเกิดโรคขึ้นจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เชื้อหนองใน (Gonorrhea) และเชื้อคลาไมเดีย (Chlamydia) เป็นต้น 

ในขณะที่ผู้หญิงที่อยู่ในช่วงวัยทอง มักมีสาเหตุของโรคมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้บริเวณเยื่อบุช่องคลอดบางลง ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้โดยง่าย

 

ต้องงดมีเพศสัมพันธ์ระหว่างรักษาปีกมดลูกอักเสบหรือไม่?

ระหว่างการรักษาปีกมดลูกอักเสบ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เชื้อแบคทีเรียอาจเกิดแพร่กระจาย ซึ่งส่งผลให้เกิดการติดเชื้อซ้ำ หรือเกิดการลุกลามไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้

 

SHARE
ข่าวประชาสัมพันธ์อื่นๆ