
รวม 5 วิตามินหลัก สำหรับเด็ก ช่วยป้องกันอาการแขนชา อาการมือชา และอื่น ๆ
การดูแลสุขภาพของเด็กให้แข็งแรงและมีการพัฒนาที่สมวัยเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก นอกจากการได้รับสารอาหารหลักที่ครบถ้วนแล้ว วิตามินและแร่ธาตุบางชนิดยังมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ และช่วยลดความเสี่ยงของอาการผิดปกติอื่น ๆ เช่น อาการแขนชา และ อาการมือชา ที่บางครั้งอาจเกิดขึ้นในเด็กได้เช่นกัน การได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่เพียงพอจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ศูนย์สมองและระบบประสาท เล็งเห็นถึงความสำคัญของการได้รับสารอาหารที่เหมาะสมในเด็ก จึงได้รวบรวมวิตามินและแร่ธาตุหลัก 5 ชนิดที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีและอาจช่วยป้องกันอาการผิดปกติทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อในเด็กได้
แคลเซียม
แคลเซียมเป็นหนึ่งในแร่ธาตุที่สำคัญที่สุดสำหรับการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน นอกจากนี้ แคลเซียมยังมีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบประสาทและการหดตัวของกล้ามเนื้อ ในเด็ก ๆ ที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว หากขาดแคลเซียม เด็กอาจประสบกับอาการแขนชา อาการมือชา รวมถึงอาการปวดตามกระดูกและข้อ
ประโยชน์
– เสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรงในช่วงวัยเจริญเติบโต
– ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
– ป้องกันภาวะกระดูกพรุนในระยะยาว
– มีบทบาทในการแข็งตัวของเลือดและการหดตัวของกล้ามเนื้อ
ปริมาณที่เหมาะสม
ปริมาณแคลเซียมที่เด็กควรได้รับในแต่ละวันจะแตกต่างกันไปตามช่วงอายุ โดยแบ่งเป็น
– เด็กวัย 1-3 ปี ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 700 มิลลิกรัมต่อวัน
– เด็กวัย 4-8 ปี ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
– เด็กวัย 9-18 ปี ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1,300 มิลลิกรัมต่อวัน
วิตามิน B12
วิตามิน B12 มีความสำคัญต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงและการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง การขาดวิตามิน B12 อาจนำไปสู่ภาวะโลหิตจางและปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท เช่น อาการชาตามปลายมือปลายเท้า ซึ่งรวมถึง อาการมือชา และ อาการแขนชา ที่สำคัญยังผลต่อการเรียนรู้ของเด็กอีกด้วย
ประโยชน์
– ช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
– สนับสนุนการทำงานของระบบประสาท
– ส่งเสริมพัฒนาการด้านความจำและการเรียนรู้ในเด็ก
– ป้องกันอาการเหน็บชา หรือ อาการแขนชา อาการมือชา
ปริมาณที่เหมาะสม
ปริมาณวิตามิน B12 ที่แนะนำสำหรับเด็กจะแตกต่างกันตามอายุ โดยแบ่งเป็น
– เด็กวัย 1-3 ปี ควรได้รับประมาณ 0.9 ไมโครกรัมต่อวัน
– เด็กวัย 4-8 ปี ควรได้รับประมาณ 1.2 ไมโครกรัมต่อวัน
– เด็กวัย 9-13 ปี ควรได้รับประมาณ 1.8 ไมโครกรัมต่อวัน
– เด็กวัย 14-18 ปี ควรได้รับประมาณ 2.4 ไมโครกรัมต่อวัน
วิตามิน C
วิตามิน C เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน หลอดเลือด และเส้นประสาท การได้รับวิตามิน C ที่เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและมีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาท
ประโยชน์
– เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อ
– ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก
– เร่งกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและแผล
– ป้องกันโรคลักปิดลักเปิด (เลือดออกตามไรฟัน)
ปริมาณที่เหมาะสม
ปริมาณวิตามิน C ที่แนะนำสำหรับเด็กจะแตกต่างกันตามอายุ โดยแบ่งเป็น
– เด็กวัย 1-3 ปี ควรได้รับประมาณ 15 มิลลิกรัมต่อวัน
– เด็กวัย 4-8 ปี ควรได้รับประมาณ 25 มิลลิกรัมต่อวัน
– เด็กวัย 9-13 ปี ควรได้รับประมาณ 45 มิลลิกรัมต่อวัน
– เด็กวัย 14-18 ปี เพศชายควรได้รับประมาณ 75 มิลลิกรัมต่อวัน เพศหญิงควรได้รับประมาณ 65 มิลลิกรัมต่อวัน
วิตามิน D
วิตามิน D มีบทบาทสำคัญในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง นอกจากนี้ วิตามิน D ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและระบบประสาท การขาดวิตามิน D ส่งผลต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและระบบประสาทได้
ประโยชน์
– ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและเสริมสร้างกระดูก
– ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
– ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกอ่อนในเด็ก (rickets)
– ช่วยป้องกันภาวะ อาการแขนชา อาการมือชา
ปริมาณที่เหมาะสม
ปริมาณวิตามิน D ที่แนะนำสำหรับเด็กทุกช่วงอายุคือ 15 ไมโครกรัม หรือ 600 IU ต่อวัน
ธาตุเหล็ก
ธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบสำคัญของฮีโมโกลบินในเซลล์เม็ดเลือดแดง ซึ่งทำหน้าที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงสมองและระบบประสาท การขาดธาตุเหล็กอาจนำไปสู่ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองและระบบประสาทของเด็กได้
ประโยชน์
– ช่วยในการสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงเพื่อขนส่งออกซิเจน
– ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง
– ช่วยในการพัฒนาการสมองและระบบประสาท
– ช่วยลดความเสี่ยงของอาการอ่อนเพลีย
ปริมาณที่เหมาะสม
ปริมาณธาตุเหล็กที่แนะนำสำหรับเด็กจะแตกต่างกันตามอายุ โดยแบ่งเป็น
– เด็กวัย 1-3 ปี ควรได้รับประมาณ 7 มิลลิกรัมต่อวัน
– เด็กวัย 4-8 ปี ควรได้รับประมาณ 10 มิลลิกรัมต่อวัน
– เด็กวัย 9-13 ปี ควรได้รับประมาณ 8 มิลลิกรัมต่อวัน
– เด็กวัย 14-18 ปี เพศชายควรได้รับประมาณ 11 มิลลิกรัมต่อวัน เพศหญิงควรได้รับประมาณ 15 มิลลิกรัมต่อวัน
แนะนำผู้ปกครองมือใหม่ ดูแลสุขภาพเด็กให้แข็งแรง โดยศูนย์สมองและระบบประสาท
การดูแลสุขภาพของเด็กไม่เพียงแต่ต้องมีการเสริมวิตามินที่เหมาะสม แต่ยังควรให้เด็กได้รับการตรวจสุขภาพประจำปี และรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เช่น นักโภชนาการเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับปริมาณและสารอาหารที่เหมาะสำหรับเด็กแต่ละวัย หรือ ศูนย์สมองและระบบประสาท ซึ่งสามารถให้คำแนะนำในการดูแลระบบประสาทและพัฒนาการของเด็กอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในกรณีที่พบอาการแขนชา อาการมือชา การดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ สามารถช่วยป้องกันปัญหาทางสุขภาพในอนาคตได้