
เมื่อเราตรวจสุขภาพแล้วพบว่าเกล็ดเลือดต่ำในบางครั้ง อาจจะนำมาด้วยโรคภัยบางอย่าง หรือแม้กระทั่งโรคร้ายอย่างมะเร็ง วันนี้จะพาไปดูกันว่า สาเหตุการเกิดโรคนี้มาจากไหน
เกล็ดเลือดต่ำ อย่ามองข้าม เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณของ “มะเร็ง”
หากวันหนึ่งคุณสังเกตเห็นว่าร่างกายมีรอยจ้ำแดงหรือม่วงขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ เลือดกำเดาไหลบ่อย หรือมีอาการเลือดออกง่ายผิดปกติ อาการเหล่านี้อาจดูเหมือนเล็กน้อยในตอนแรก แต่แท้จริงแล้วอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงภาวะที่เรียกว่า “เกล็ดเลือดต่ำ” ซึ่งในบางกรณีอาจเชื่อมโยงกับโรคเรื้อรัง ไปจนถึงโรค มะเร็งที่หลายคนคาดไม่ถึง โดยเฉพาะมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือชื่อที่คุ้นหูอย่าง “ลูคีเมีย”
ในบทความนี้ โรงพยาบาลสินแพทย์ รามอินทรา จะพาคุณไปทำความเข้าใจกับภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ตั้งแต่หน้าที่ของเกล็ดเลือดในร่างกาย ค่าที่ถือว่าผิดปกติ สาเหตุ อาการที่ควรสังเกต ไปจนถึงวิธีดูแลตัวเองและการป้องกัน เพื่อให้คุณสามารถรับมือได้อย่างทันท่วงที และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรง
เกล็ดเลือดต่ำ คืออะไร
เกล็ดเลือด (Platelets) คือ องค์ประกอบของเม็ดเลือดที่สร้างจากไขกระดูก มีหน้าที่สำคัญในการช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผล หากเกล็ดเลือดในร่างกายมีจำนวนน้อยเกินไป หรือมีภาวะ “เกล็ดเลือดต่ำ” ร่างกายจะหยุดการแข็งตัวของเลือดได้ยากขึ้น ทำให้เลือดออกง่าย แม้เพียงเกิดอุบัติเหตุได้รับความกระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้เกิดเลือดออกภายในโดยไม่รู้ตัว ซึ่งในบางรายอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
ค่าเกล็ดเลือด แบบไหนถึงเรียกว่าปกติ
ค่าปกติของเกล็ดเลือดในผู้ใหญ่จะอยู่ระหว่าง 150,000 – 450,000 ตัว/ลูกบาศก์มิลลิเมตรของเลือด หากต่ำกว่านี้ จะเริ่มเข้าสู่ภาวะ “เกล็ดเลือดต่ำ” และถ้าค่าต่ำกว่า 50,000 หรือแม้กระทั่ง 20,000 อาจก่อให้เกิดอันตราย โดยเฉพาะเลือดออกในสมอง ตา หรือระบบย่อยอาหาร
เกล็ดเลือดต่ำ มีอาการอย่างไร
แม้บางคนอาจไม่มีอาการชัดเจน แต่ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำมาก ๆ มักมีอาการแสดง ดังนี้
- มีจ้ำเลือดสีม่วงแดงหรือจุดเลือดใต้ผิวหนัง (Petechiae)
- เลือดออกง่ายผิดปกติ เช่น เลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน หรือมีประจำเดือนมากผิดปกติ
- มีแผลแล้วเลือดหยุดยาก
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ซีด
- หากรุนแรง อาจพบเลือดออกในทางเดินอาหาร ปัสสาวะ หรือแม้กระทั่งภายในสมอง
เกล็ดเลือดต่ำ เกิดจากอะไร
ภาวะเกล็ดเลือดต่ำมีได้จากหลายสาเหตุ ดังต่อไปนี้
เกี่ยวกับพันธุกรรม
ภาวะบางชนิดมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น Bernard-Soulier Syndrome (BSS) โรคเลือดออกง่ายทางพันธุกรรมชนิดหนึ่ง ทำให้เกล็ดเลือดผิดปกติหรือจำนวนลดลง
ไขกระดูกฝ่อ
โรคไขกระดูกฝ่อ (Aplastic anemia) เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไขกระดูกไม่สามารถสร้างเกล็ดเลือดได้เพียงพอ
มะเร็ง
มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia) มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งที่ลุกลามเข้าสู่ไขกระดูก จะรบกวนการสร้างเซลล์เม็ดเลือดใหม่ ส่งผลให้เกล็ดเลือดลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว
สัมผัสกับสารเคมี
สารเคมีบางชนิด เช่น เบนซีน ทินเนอร์ หรือสารที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาจเข้าไปทำลายเซลล์ของไขกระดูก ส่งผลให้กระบวนการสร้างเกล็ดเลือดบกพร่อง โดยเฉพาะในผู้ที่สัมผัสเป็นเวลานาน หรือไม่มีอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม
การใช้ยาบางชนิด
ยาบางประเภท เช่น ยาเคมีบำบัดสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ยารักษาไวรัสบางชนิด หรือแม้แต่ยาปฏิชีวนะบางกลุ่ม อาจส่งผลข้างเคียงต่อไขกระดูก ทำให้การสร้างเกล็ดเลือดลดลง
โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส
โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสตับอักเสบบีและซี, EBV, HIV รวมถึงไข้เลือดออก ซึ่งส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำลายเกล็ดเลือดโดยตรง
เครื่องดื่มจำพวกแอลกอฮอล์
การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปมีผลต่อการทำงานของไขกระดูก ทำให้สร้างเกล็ดเลือดได้ลดลง และเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกผิดปกติ
นอกจากสาเหตุเหล่านี้ เกล็ดเลือดต่ำ อาจจะเกิดได้จากโรคโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (ITP), ม้ามโต รวมถึงการตั้งครรภ์ด้วยเช่นเดียวกัน
วิธีฟื้นฟูและป้องกันการเกล็ดเลือดต่ำ
การดูแลและป้องกันภาวะนี้สามารถทำได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการรับประทานอาหารที่เหมาะสม ได้แก่
- รับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี 12 โฟเลต และธาตุเหล็ก เช่น ตับหมู ผักใบเขียว ไข่แดง และข้าวกล้อง
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
- พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด ซึ่งมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
- ตรวจสุขภาพประจำปี และหากพบว่าเกล็ดเลือดต่ำ ควรตรวจซ้ำและหาสาเหตุเพิ่มเติมโดยเร็ว
สรุป
สรุปได้ว่า แม้ภาวะเกล็ดเลือดต่ำอาจดูเป็นเรื่องเล็ก แต่หากละเลย อาจนำไปสู่โรคที่รุนแรงโดยเฉพาะ มะเร็งได้ การสังเกตอาการและใส่ใจสุขภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญ การตรวจเลือดเป็นประจำจะช่วยให้รู้ทันความผิดปกติของร่างกายตั้งแต่ระยะแรก และหากคุณมีความเสี่ยงหรือสงสัยว่าตนเองมีภาวะนี้ โรงพยาบาลสินแพทย์ รามอินทรา พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลอย่างใกล้ชิดด้วยทีมแพทย์ชำนาญการ