
ตรวจความเข้มของเลือด Hematocrit คืออะไร ทำไมต้องตรวจ บอกอะไรได้บ้าง
หลายคนอาจสงสัยว่า Hematocrit คือ อะไร และทำไมถึงสำคัญต่อสุขภาพ
การตรวจความเข้มข้นของเลือด ช่วยบอกถึงภาวะโลหิตจาง ขาดน้ำ หรือโรคเลือดบางชนิดได้ การตรวจ Hematocrit เป็นหนึ่งในการตรวจพื้นฐานที่ใช้ประเมินสุขภาพเบื้องต้นและช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำ
สารบัญ
- การตรวจวัดความเข้มของเลือด (Hematocrit) คืออะไร
- ทำไมต้องตรวจความเข้มของเลือด?
- ขั้นตอนการตรวจความเข้มข้นของเลือด
- หากค่าความเข้มของเลือดผิดปกติ บอกอะไรได้บ้าง?
- ปัจจัยที่อาจทำให้ผลลัพธ์คลาดเคลื่อน
- ข้อสรุป
- คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตรวจความเข้มของเลือด (Hematocrit)
การตรวจวัดความเข้มของเลือด (Hematocrit) คืออะไร
การตรวจ Hematocrit คือการตรวจความเข้มข้นของเลือด เพื่อประเมินว่าร่างกายมีเลือดเพียงพอต่อการทำหน้าที่สำคัญ เช่น การลำเลียงออกซิเจนไปยังอวัยวะ การขับของเสีย การควบคุมอุณหภูมิ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง
ทำไมต้องตรวจความเข้มของเลือด?
การตรวจความเข้มข้นของเลือดช่วยประเมินสุขภาพระบบเลือด โดยตรวจหาความผิดปกติในการผลิตเลือด การติดเชื้อ หรือปัญหาการทำงานของเลือด ซึ่งอาจส่งผลต่อการรักษา การผ่าตัด หรือการใช้เคมีบำบัด และช่วยลดความเสี่ยงจากการทำลายเซลล์ดีในร่างกาย
ขั้นตอนการตรวจความเข้มข้นของเลือด
การเตรียมตัวก่อนตรวจความเข้มของเลือด
ไม่จำเป็นต้องงดน้ำหรืออาหารก่อนตรวจเลือด สามารถเข้ารับการตรวจได้ตามเวลานัดหมาย และทางโรงพยาบาลจะแจ้งผลให้ทราบภายหลัง
วิธีการตรวจความเข้มของเลือด
แพทย์จะทำการเจาะเลือดจากเส้นเลือดดำบริเวณข้อพับแขนหรือข้อมือประมาณ 2–3 มิลลิลิตร แล้วใส่ลงในหลอดเก็บเลือดที่มีสารป้องกันการแข็งตัว (EDTA) จากนั้นนำตัวอย่างเลือดไปตรวจวิเคราะห์ด้วยกล้องจุลทรรศน์ในห้องแล็บ
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังการตรวจ
หลังเจาะเลือด อาจเกิดรอยฟกช้ำเล็กน้อยที่ผิวหนังบริเวณที่ถูกเจาะ สีเขียวหรือม่วง ซึ่งเกิดจากเลือดซึมใต้ผิวหนัง แต่ไม่มีอันตราย และรอยช้ำจะค่อย ๆ จางหายไปเองภายใน 2–3 วัน
หากค่าความเข้มของเลือดผิดปกติ บอกอะไรได้บ้าง?
การตรวจค่า Hematocrit ช่วยสะท้อนสภาพการทำงานของร่างกาย หากผลตรวจสูงหรือต่ำกว่ามาตรฐาน อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ควรใส่ใจ
ค่าความเข้มของเลือดต่ำกว่าปกติ
เมื่อค่าความเข้มข้นของเลือดต่ำกว่าปกติ บ่งบอกว่าร่างกายมีเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากภาวะหรือโรคต่อไปนี้
– โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia) การสร้างเม็ดเลือดผิดปกติ
– ภาวะโลหิตจาง (Anemia) เม็ดเลือดแดงไม่พอในการลำเลียงออกซิเจน
– โรคตับแข็ง (Cirrhosis) การทำงานของตับบกพร่อง
– โรคไตวายเรื้อรัง ไตสร้างฮอร์โมนกระตุ้นเม็ดเลือดแดงลดลง
– ภาวะโปรตีนรั่วในปัสสาวะ (Nephrotic Syndrome) ส่งผลต่อกระบวนการสร้างเซลล์
– ไขกระดูกผิดปกติ การผลิตเม็ดเลือดลดลงทุกชนิด
ค่าความเข้มของเลือดสูงกว่าปกติ
เมื่อค่าความเข้มข้นของเลือดสูงเกินปกติ
ค่าที่สูงเกินไปอาจสัมพันธ์กับความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมหรือโรคเรื้อรัง เช่น
– ภาวะเม็ดเลือดแดงมากผิดปกติ (Erythrocytosis)
– โรคหัวใจที่เป็นมาแต่กำเนิด ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มเพื่อตอบสนองต่อออกซิเจนที่ลดลง
– ภาวะ Polycythemia Vera โรคของไขกระดูกที่สร้างเม็ดเลือดแดงเกินกว่าความจำเป็น
หากค่าผลตรวจผิดปกติ ควรเข้ารับการวินิจฉัยเพิ่มเติมจากแพทย์ เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม
ปัจจัยที่อาจทำให้ผลลัพธ์คลาดเคลื่อน
การตรวจความเข้มข้นของเลือด (Hematocrit) แม้จะมีความแม่นยำสูง แต่ยังมีปัจจัยบางประการที่อาจส่งผลต่อค่าผลลัพธ์ เช่น
– การตั้งครรภ์ ระหว่างตั้งครรภ์ ปริมาณน้ำในเลือดเพิ่มขึ้น อาจทำให้ค่าความเข้มข้นของเลือดดูต่ำลง แม้จะไม่มีภาวะโลหิตจางจริง
– สภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อออกซิเจน เช่น การอยู่ในพื้นที่สูงเป็นระยะเวลานาน อาจกระตุ้นการผลิตเม็ดเลือดแดงเพิ่มเติม
– การได้รับเลือด (Blood Transfusion) การถ่ายเลือดอาจทำให้ค่าความเข้มข้นที่ตรวจได้ไม่สะท้อนสภาพเลือดตามปกติ
– ภาวะขาดน้ำรุนแรง การสูญเสียน้ำมากอาจทำให้ค่าความเข้มข้นของเลือดดูสูงขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำในร่างกายลดลง แต่จำนวนเซลล์เม็ดเลือดยังคงที่
หากค่าผลลัพธ์ผิดปกติ แพทย์อาจพิจารณาทำการตรวจซ้ำเพื่อยืนยันผลและประเมินสุขภาพได้อย่างถูกต้อง
ข้อสรุป
การตรวจค่าความเข้มข้นของเลือดเป็นหนึ่งในวิธีประเมินสุขภาพที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและดูแลรักษาผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสมตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีในระยะยาว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตรวจความเข้มของเลือด (Hematocrit)
ทำไมต้องตรวจความเข้มของเลือด?
การตรวจความเข้มข้นของเลือด (Hematocrit) เป็นการวัดสัดส่วนของเม็ดเลือดแดงต่อปริมาตรทั้งหมดของเลือด ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญในการประเมินสุขภาพโดยรวมและสามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคต่างๆ ได้
ควรตรวจความเข้มของเลือดบ่อยแค่ไหน?
การตรวจค่าความเข้มข้นของเลือด (Hematocrit) ควรตรวจปีละ 1 ครั้งสำหรับผู้ที่มีสุขภาพปกติ หากมีโรคประจำตัวหรือภาวะที่ต้องติดตาม แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจทุก 3–6 เดือน หรือบ่อยตามคำแนะนำของแพทย์
การตรวจความเข้มของเลือดบอกอะไรเกี่ยวกับสุขภาพของเราได้บ้าง?
การตรวจความเข้มข้นของเลือด (Hematocrit) ช่วยประเมินการทำงานของระบบเลือดและการผลิตเม็ดเลือดแดง ค่าต่ำอาจบ่งชี้ภาวะเลือดจางหรือปัญหาของอวัยวะต่างๆส่วนค่าที่สูงอาจเกิดจากภาวะผลิตเม็ดเลือดแดงมากเกินไป