
ถ่ายเป็นเลือด เหมือนประจำเดือน ถือว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคอันตราย ในวันนี้สินแพทย์จะพาไปดูกัน ว่าลักษณะการขับถ่ายลักษณะแบบนี้ สามารถป่วยเป็นโรคอะไรได้บ้าง
ถ่ายเป็นเลือด เหมือนประจำเดือน อาการอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม
ถ่ายเป็นเลือด เหมือนประจำเดือน คือสัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม เพราะคุณกำลังอาจจะเสี่ยงโรคร้ายอยู่ ถ้าให้พูดตามหลักการขับถ่ายที่ปกติและดีที่สุด ต้องเป็นการขับถ่ายทุกเช้าหลังจากที่ตื่นนอน แต่ละคนก็มีลักษณะรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ถ้ามีสีเหลือง สีน้ำตาล หรือสีคล้ำ นับว่าเป็นอาการปกติ แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีสีเทา สีดำ มีมูกเลือดปน หรือแม้กระทั่งขับถ่ายเป็นเลือด ลักษณะเหมือนประจำเดือน สามารถอนุมานได้เลยว่าคุณกำลังเผชิญกับความผิดปกติบางอย่างของระบบภายในร่างกาย ซึ่งเดี๋ยวเราจะพามาดูกันแบบเฉพาะเจาะจงในครั้งนี้ ว่าถ่ายเป็นเลือด สามารถบ่งบอกโรคอะไรได้บ้าง พร้อมแนวทางในการรักษาที่ถูกต้อง
สารบัญ
- ถ่ายเป็นเลือดคืออะไร?
- สาเหตุของการถ่ายเป็นเลือด เหมือนประจำเดือน
- เมื่อไหร่ควรรีบพบแพทย์?
- แนวทางการรักษาอาการถ่ายเป็นเลือด
- การป้องกันและดูแลสุขภาพระบบขับถ่าย
- สรุป
- คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
ถ่ายเป็นเลือดคืออะไร?
ถ่ายเป็นเลือด คือ เมื่อขับถ่ายจะมีเลือดถูกปนออกมาจากทางทวารหนัก มีทั้งแบบเลือดสีแดงสด กับเลือดสีแดงคล้ำ น้ำตาล หรือดำที่เป็นเลือดเก่า อาจจะออกมาเป็นหยดเหมือนประจำเดือน หรือปะปนอยู่กับก้อนอุจจาระ มีทั้งแบบปวดและไม่ปวด ณ ขณะที่ถ่าย ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้บ่งบอกถึงโรคที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นหากคุณมีอาการถ่ายเป็นเลือด เหมือนประจำเดือน หรือพบความผิดปกติเมื่อไหร่ ให้สังเกตสีของอุจจาระ และนำไปประกอบการวินิจฉัยของแพทย์
สาเหตุของการถ่ายเป็นเลือด เหมือนประจำเดือน
สาเหตุของการถ่ายเป็นเลือด เหมือนประจำเดือน อาจเป็นไปได้ตั้งแต่กรณีที่เกิดขึ้นได้ในสถานการณ์ปกติเช่นทวารหนักเป็นแผลจากก้อนอุจจาระแข็งตัว ไปจนถึงโรคที่มีความอันตราย ดังนี้
ริดสีดวงทวาร
ริดสีดวงทวาร คือ ภาวะที่หลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักและส่วนปลายของลำไส้ใหญ่โป่งพองหรือขยายตัว เกิดจากความดันในช่องท้องที่เพิ่มขึ้น เช่น การเบ่งถ่ายอุจจาระ การยกของหนัก การตั้งครรภ์ หรือท้องผูกเรื้อรัง ทำให้มีอาการต่าง ๆ ดังนี้
- เลือดออกทางทวารหนัก : มักเป็นเลือดสีแดงสด อาจปนมากับอุจจาระหรือหยดลงในโถสุขภัณฑ์
- อาการเจ็บปวด : โดยเฉพาะขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ
- ก้อนเนื้อยื่นออกมาจากทวารหนัก : อาจมีขนาดเล็กหรือใหญ่ และอาจดันกลับเข้าไปได้หรือไม่ก็ได้
แผลในลำไส้หรือลำไส้อักเสบ
แผลในลำไส้หรือลำไส้อักเสบ มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อโดยตรง หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา โรคลำไส้ใหญ่อักเสบอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ ซึ่งลักษณะอาการของโรคลำไส้ใหญ่อักเสบ มีดังนี้
- ถ่ายเหลวและถ่ายบ่อย : ผู้ป่วยอาจมีอาการถ่ายเหลวเป็นน้ำหรือมีมูกปน และมีความถี่ในการถ่ายอุจจาระเพิ่มขึ้น
- มีเลือดปนในอุจจาระ : เลือดที่ออกมาอาจเป็นสีแดงสดหรือสีคล้ำ และอาจปนมากับอุจจาระหรือเคลือบอยู่บนผิวอุจจาระ
- ปวดท้อง : ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณท้องน้อย
- มีไข้ : การติดเชื้ออาจทำให้ร่างกายมีไข้สูงหรือต่ำได้
มะเร็งลำไส้ใหญ่
มะเร็งลำไส้ใหญ่ การมีเลือดปนออกมากับอุจจาระอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ของติ่งเนื้อ มะเร็งในลำไส้ใหญ่ หรือทวารหนักได้เช่นกัน ซึ่งลักษณะของเลือดที่ออกมาอาจมีความแตกต่างกันไป ตั้งแต่สีแดงสดไปจนถึงสีเข้มคล้ำ มักจะมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ดังนี้
- การเปลี่ยนแปลงของระบบขับถ่าย : ท้องผูกสลับกับท้องเสีย อุจจาระมีขนาดเล็กลง รวมถึงรู้สึกถ่ายอุจจาระไม่สุด แต่ไม่สามารถถ่ายเพิ่มได้แล้ว
- อาการปวดท้อง : ปวดท้อง ปวดเกร็งอย่างต่อเนื่อง
- อาการอื่น ๆ : น้ำหนักลงแบบไม่มีสาเหตุ รู้สึกอ่อนเพลีย เมื่อตรวจเลือดแล้วเจอกับภาวะโลหิตจาง
ภาวะเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร
การมีเลือดออกในทางเดินอาหารจากภาวะต่าง ๆ เช่น แผลในกระเพาะอาหาร โรคถุงผนังลำไส้ หรือโรคลำไส้อักเสบ ก็สามารถทำให้ถ่ายเป็นเลือดได้เช่นกัน ซึ่งลักษณะของเลือดที่ปรากฏในอุจจาระไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและความรุนแรงของการมีเลือดออก ดังนี้
- เลือดสีแดงสด : มักเกิดจากการมีเลือดออกในส่วนปลายของทางเดินอาหาร เช่น ทวารหนักหรือลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย อาจเป็นสัญญาณของริดสีดวงทวาร ติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่
- เลือดสีเข้มหรือสีดำ : มักเกิดจากการมีเลือดออกในส่วนต้นของทางเดินอาหาร เช่น กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็กส่วนต้น หรือเส้นเลือดขอดในหลอดอาหาร
เมื่อไหร่ควรรีบพบแพทย์?
ควรรีบพบแพทย์เมื่อขับถ่ายปกติ แต่พบว่าถ่ายเป็นเลือด เหมือนประจำเดือน เพราะนั่นหมายถึงคุณอาจจะกำลังเผชิญกับความผิดปกติบางอย่างของระบบร่างกาย
แนวทางการรักษาอาการถ่ายเป็นเลือด
แนวทางการรักษาอาการถ่ายเป็นเลือด ขึ้นอยู่กับสาเหตุ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
- ยาปฏิชีวนะ : ใช้ในกรณีที่สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ เช่น โรคลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อ
- ยาต้านการอักเสบ : ใช้เพื่อลดการอักเสบในลำไส้ เช่น ในกรณีของโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD)
- ยาบรรเทาอาการ : ยาแก้ปวด ยาลดกรด หรือยาหยุดถ่าย เพื่อบรรเทาอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นร่วมกับอาการถ่ายเป็นเลือด
- ยาเพิ่มการแข็งตัวของเลือด : ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะเลือดออกมาก แพทย์อาจให้ยาเพื่อช่วยให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น
การป้องกันและดูแลสุขภาพระบบขับถ่าย
การป้องกันและดูแลสุขภาพระบบขับถ่าย สามารถทำได้ ดังนี้
- รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง : เพื่อป้องกันอาการท้องผูกและช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ : ป้องกันภาวะขาดน้ำ รวมถึงช่วยให้อุจจาระอ่อนตัวลง
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ระคายเคืองลำไส้ : เช่น อาหารรสจัด อาหารมัน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ฝึกสุขนิสัยการขับถ่ายที่ดี : การไม่เบ่งอุจจาระ การนั่งถ่ายในท่าที่เหมาะสม และการไม่นั่งแช่ในห้องน้ำนานเกินไป
สรุป
การถ่ายเป็นเลือด เหมือนประจำเดือนเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญของความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งอาจมีสาเหตุได้หลากหลาย ตั้งแต่ภาวะที่ไม่รุนแรง เช่น ริดสีดวงทวาร ไปจนถึงโรคร้ายแรง เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ ลักษณะของเลือดที่ออกมาสามารถช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้แม่นยำยิ่งขึ้น เช่น เลือดสีแดงสดมักบ่งชี้ถึงการมีเลือดออกในส่วนปลายของทางเดินอาหาร ในขณะที่เลือดสีคล้ำหรือสีดำบ่งชี้ถึงการมีเลือดออกในส่วนต้น
แนวทางการรักษาอาการถ่ายเป็นเลือดนั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุที่แท้จริง โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งอาจรวมถึงการรักษาด้วยยา การปรับพฤติกรรมการกินและสุขภาพลำไส้ การส่องกล้อง การผ่าตัด หรือการให้เลือด
สิ่งสำคัญที่สุดคือ หากพบว่ามีเลือดปนออกมากับอุจจาระ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดและรับการรักษาที่เหมาะสม การตรวจพบในระยะแรกทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการหายขาดจากโรค
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
ถ่ายเป็นเลือดสีแดงสด กับเลือดสีคล้ำต่างกันอย่างไร?
ถ่ายเป็นเลือดสีแดงสดมักมาจากทวารหนัก ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย อาจจะเป็นริดสีดวง ติ่งเนื้อ หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ ในขณะที่เลือดสีคล้ำมาจากกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็กส่วนต้น อาจเป็นแผลในกระเพาะ หรือเส้นเลือดขอดในหลอดอาหาร
ถ่ายเป็นเลือดเกิดจากการกินอาหารหรือยาได้หรือไม่?
อาหารและยาสามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงถ่ายเป็นเลือด เหมือนประจำเดือนได้ ไม่ว่าจะเป็นยาแอสไพริน ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เพราะยาเหล่านี้สามารถระคายเคืองกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้เกิดแผลและเลือดออกได้ นอกจากนี้ยังมียาต้านการแข็งตัวของเลือด ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการมีเลือดออกในทางเดินอาหาร
ถ่ายเป็นเลือดแต่ไม่มีอาการปวด เป็นไปได้ไหม?
เป็นไปได้ เพราะบางโรคจะไม่สัมพันธ์กับอาการปวด ในขณะที่ขับถ่าย
ถ่ายเป็นเลือดต้องพบแพทย์เมื่อไหร่?
ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการถ่ายเป็นเลือด เหมือนประจำเดือน เพื่อหาสาเหตุและเริ่มต้นการรักษาทันที