
ปัญหาสุขภาพที่หลายคนต้องเคยพบเจอคงหนีไม่พ้นอาการปวดหัว ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม อากาศ ความเครียด หรือฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกาย
ปวดหัว เกิดจากอะไร? อาการ สาเหตุ และวิธีรักษา
ปวดหัว เป็นปัญหาสุขภาพที่หลายคนต้องเคยพบเจอในชีวิตประจำวัน ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น ความเครียด การนอนไม่พอ หรือแม้กระทั่งสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม อาการปวดหัวสามารถเกิดขึ้นในระดับที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ความรู้สึกปวดเบา ๆ ไปจนถึงอาการปวดที่รุนแรงจนกระทบต่อการทำงาน การใช้ชีวิตประจำวัน แม้ว่าปวดหัวอาจดูเหมือนเป็นอาการทั่วไป และไม่ใช่โรคร้ายแรงในบางกรณี แต่หากเป็นบ่อย มีความรุนแรงเพิ่มเรื่อย ๆ หรือมีอาการแทรกซ้อนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้ วันนี้โรงพยาบาลสินแพทย์จะพาไปรู้จักกับลักษณะการปวดหัวในแต่ละประเภท พร้อมวิธีบรรเทาอาการ รวมถึงวิธีสังเกตว่าอาการแบบไหนที่ควรเข้ารับการตรวจ และวินิจฉัยจากแพทย์โดยละเอียด
อาการปวดหัวแต่ละประเภทที่ควรรู้
อาการปวดหัว คือ ความรู้สึกปวดที่อาจเกิดขึ้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของบริเวณศีรษะ โดยการปวดหัวนั้นมีหลากหลายรูปแบบ สามารถแบ่งประเภทได้ตามสาเหตุ และลักษณะอาการที่ต่างกันดังนี้
ปวดหัวไมเกรน (Migraine)
ปวดหัวไมเกรน (Migraine) คือ อาการปวดที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง รวมถึงมีสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ ที่ทำให้อาการสามารถกำเริบขึ้นได้ เช่น การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงจ้า มีเสียงดัง อากาศร้อน ตลอดจนการสูดดมกลิ่นหรือสารเคมีบางชนิด ลักษณะการปวดประเภทนี้ มักรู้สึกปวดตุบ ๆ ตามจังหวะการเต้นของชีพจรที่บริเวณขมับข้างใดข้างหนึ่ง บางครั้งอาจมีอาการเวียนหัว คลื่นไส้ และอาเจียนร่วมด้วย โดยส่วนใหญ่แล้วระยะเวลาที่มีอาการจะอยู่ที่ประมาณ 4-7 ชั่วโมง
ปวดหัวจากความเครียด (Tension Headache)
ปวดหัวจากความเครียด (Tension Headache) เป็นอาการปวดที่มักเกิดจากภาวะความวิตกกังวล การพักผ่อนน้อย รวมถึงการใช้สายตาอย่างหนัก ลักษณะการปวดประเภทนี้ มักจะรู้สึกปวดเหมือนมีอะไรมารัดกุมรอบศีรษะ หรืออาจรู้สึกปวดร้าวจากบริเวณขมับลามไปถึงบริเวณท้ายทอย ส่วนใหญ่แล้วการอาการปวดประเภทนี้มักเกิดขึ้นในช่วงบ่ายหลังจากการทำงาน โดยมักมีระยะเวลาในการปวดตั้งแต่ 30 นาที ไปจนถึงหลายชั่วโมง
ปวดหัวจากไซนัส (Sinus Headache)
ปวดหัวจากไซนัส (Sinus Headache) เป็นอาการปวดที่มักเกิดขึ้นได้จากการติดเชื้อที่บริเวณโพรงจมูก ลักษณะการปวดประเภทนี้ มักจะรู้สึกปวดหน่วงบริเวณโพรงไซนัส ไม่ว่าจะเป็นหน้าผาก กระบอกตา สันจมูก และอาจลามไปถึงบริเวณโหนกแก้ม ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดได้มากขึ้น เมื่อต้องก้มตัวหรือก้มศีรษะ ซึ่งจะหายได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ ตามระยะเวลาของอาการของโรคไซนัสอักเสบ
ปวดหัวแบบคลัสเตอร์ (Cluster Headache)
ปวดหัวแบบคลัสเตอร์ (Cluster Headache) คือ อาการปวดที่มาจากความผิดปกติของระบบประสาท การปวดประเภทนี้จะทำให้รู้สึกปวดแปล๊บ ๆ บริเวณข้างขมับ หรือเบ้าตาข้างใดข้างหนึ่งอย่างรุนแรง บางครั้งอาจมีอาการน้ำตาไหล หูอื้อ คัดจมูก รวมทั้งอาการตาแดง โดยอาการปวดสามารถกำเริบได้ตั้งแต่ 1-3 รอบต่อวัน และอาจใช้ระยะเวลาปวดได้ตั้งแต่ 15 นาที ไปจนถึง 3 ชั่วโมง
สาเหตุของอาการปวดหัว ที่พบบ่อยที่สุด
สาเหตุของอาการปวดหัวที่พบได้บ่อย
- พักผ่อนน้อยหรือการอดนอน นอกจากจะทำให้ร่างกายรู้สึกไม่สดชื่น ยังส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนบางชนิด และนำไปสู่อาการปวดหัวได้ในที่สุด
- ภาวะความเครียดและความวิตกกังวล อาจทำให้รู้สึกปวดหัว และลามไปยังขมับทั้งสองข้าง รวมถึงต้นคอ และบริเวณไหล่ได้
- สภาพอากาศ โดยเฉพาะอากาศที่ร้อนอบอ้าวมากเกินไป อาจไปกระตุ้นต่อการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมองที่ทำให้เกิดอาการปวดหัว
- การใช้สายตาอย่างหนัก โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือหน้าจอสมาร์ทโฟนเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้รู้สึกเวียนศีรษะ และปวดกระบอกตาได้
วิธีบรรเทาอาการปวดหัวอย่างได้ผล
วิธีบรรเทาอาการปวดหัวอย่างได้ผล สามารถทำได้ด้วยวิธีดังนี้
วิธีลดปวดหัวเบื้องต้น โดยไม่ใช้ยา
วิธีลดปวดหัวเบื้องต้น โดยไม่ใช้ยา สามารถเริ่มได้จากปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ทั้งการพักผ่อนอย่างเพียงพอ การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ รวมถึงหมั่นพักสายตาเป็นระยะในช่วงเวลาทำงาน
การใช้ยาแก้ปวดหัวอย่างถูกต้อง
การใช้ยาแก้ปวดหัวอย่างถูกต้อง โดยทั่วไปแล้ว
- ขนาดยายาแก้ปวดหัวที่เหมาะสมสำหรับการรับประทาน จะอยู่ที่ปริมาณ 10-15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
- ระยะเวลาที่เหมาะสมจะอยู่ที่ประมาณ 4-6 ชั่วโมง ต่อ 1 เม็ด ไม่ควรรับประทานเกิน 4000 มิลลิกรัมต่อ 1 วัน หรือไม่ควรรับประทานเกิน 8 เม็ดต่อวัน เพราะอาจทำให้ตับหรือไตทำงานอย่างหนัก ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตได้
- หากรับประทานยาแก้ปวดแล้วมีผลข้างเคียง เช่น มีแพ้ขึ้นหรือรู้สึกแน่นหน้าอก อาจเป็นบ่งบอกถึงการแพ้ยา ควรหยุดการใช้ยา และรีบไปพบแพทย์ในทันที
อาหารและเครื่องดื่มที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหัว
อาหารและเครื่องดื่มบางประเภท สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้เป็นอย่างดี เช่น น้ำขิงร้อน ที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย น้ำผลไม้ที่มีรสชาติเปรี้ยว เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า หรืออาหารที่มีส่วนผสมของผักโขม เพื่อกระตุ้นการไหลเวียน ซึ่งจะช่วยลดอาการเวียนหัวได้เป็นอย่างดี
ท่าบริหารและเทคนิคผ่อนคลายที่ช่วยลดอาการปวดหัว
ท่าบริหารและเทคนิคผ่อนคลายที่ช่วยลดอาการปวดหัว สามารถใช้วิธีออกกำลังกายในรูปแบบที่ชอบ อย่างน้อยวันละ 30 นาที เพื่อให้กล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น เช่น การเข้ายิมเพื่อเดินเร็ว การเต้นแอโรบิค การว่ายน้ำ หรือการเล่นโยคะ เป็นต้น
เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์ หากมีอาการปวดหัว?
ควรไปพบแพทย์ เมื่อมีอาการปวดหัวบ่อยครั้ง หรือสังเกตได้ว่ามีอาการที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น โดยต้องรับประทานยาแก้ปวดในทุก ๆ วันจึงจะหาย หรือบางครั้งอาการปวดมักเกิดขึ้นแบบฉับพลันอย่างรุนแรง รวมถึงรู้สึกปวดหัว โดยมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น เป็นไข้ แขนขาอ่อนแรง หรือมีอาการสับสน เป็นต้น
การป้องกันอาการปวดหัว ไม่ให้เกิดซ้ำบ่อยๆ
การป้องกันอาการปวดหัว ไม่ให้เกิดซ้ำบ่อย ๆ ควรปรับวิถีชีวิตไม่ให้ร่างกายรู้สึกเครียดมากจนเกินไป อาจทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ชอบเพื่อเพิ่มความผ่อนคลาย รวมถึงการรับประทานที่มีประโยชน์ โดยหลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำร้ายสุขภาพ อย่างการดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่ในปริมาณมาก
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปวดหัว
ปวดหัวแบบไหนอันตราย ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่?
ปวดหัวในแบบที่อันตราย คือ การปวดหัวเรื้อรัง โดยผู้ป่วยจะรู้สึกปวดหัวขึ้นมาในทันทีทันใด โดยสัมผัสได้ถึงความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ ครั้ง ซึ่งอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น รู้สึกอ่อนเพลีย มีไข้ หรือรู้สึกคลื่นไส้ เวียนหัว หากมีอาการดังกล่าวนี้ควรไปพบแพทย์โดยทันที เพื่อเข้ารับการวินิจฉัย และดำเนินการรักษาได้อย่างทันท่วงที
ปวดหัวจากความเครียดแก้อย่างไร?
ปวดหัวจากความเครียด นอกจากการรับประทานยาแก้ปวดแล้ว ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้สงบ หรือการทำกิจกรรมที่ชอบเพื่อร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย เพื่อลืมเรื่องราวที่เคร่งเครียดได้ในชั่วขณะหนึ่ง เช่น การดูหนังเรื่องที่ชอบ การเล่นกับสัตว์เลี้ยง หรือออกไปพบปะเพื่อนฝูง
ปวดหัวจากการนอนไม่พอ ทำยังไงให้ดีขึ้น?
ปวดหัวจากการนอนไม่พอ อาจจะต้องพยายามปรับช่วงระยะเวลาในการนอนให้เหมาะสม ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 7-8 ชั่วโมง รวมถึงพยายามหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ที่จะกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว และนอนไม่หลับได้