
เตือนภัยสายกินจุกจิก ระวังเสี่ยงเป็นโรคท้องเสียโดยไม่รู้ตัว
อาการท้องเสีย เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน โดยส่วนมากมักเกิดจากพฤติกรรมการรับประทานที่ไม่เหมาะสม ทั้งการกินอาหารที่ไม่สะอาด การกินในปริมาณที่มากเกินไป รวมทั้งการกินอาหารที่มีรสจัด ซึ่งอาจกระทบต่อระบบทางเดินอาหารได้ อาการนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้รู้สึกไม่สบายตัว แต่ยังส่งผลทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ และเกลือแร่ การควบคุมพฤติกรรมการกินจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันปัญหานี้ได้ดีที่สุด ในวันนี้สินแพทย์ ศรีนครินทร์ จะพามาเจาะลึกถึงอาการนี้ ทั้งสาเหตุการเกิด ลักษณะอาการที่รุนแรง รวมถึงแนวทางในการรักษาอย่างถูกวิธี เพื่อให้ทุกคนมีความเข้าใจ และสามารถป้องกันความเสี่ยงการเกิดโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ท้องเสีย มีอาการเป็นอย่างไร
ท้องเสีย (Diarrhea) เป็นภาวะที่ร่างกายมีการขับถ่ายอุจจาระในลักษณะเหลวผิดปกติ โดยจะถ่ายมากกว่า 2-3 ครั้งในช่วง 24 ชั่วโมง รวมทั้งมักมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยดังนี้
- อาการท้องอืด หรือมีลมในช่องท้อง และลำไส้
- รู้สึกไม่สบายท้อง หรือมีอาการปวดท้องช่วงช่องท้องอย่างรุนแรง
- รู้สึกคลื่นไส้ เวียนหัว หรืออ่อนเพลีย จากการที่ร่างกายสูญเสียน้ำ และเกลือแร่
- บางครั้งอาจถ่ายโดยมีเลือดปนมากกว่า 1 ครั้งขึ้นไป ซึ่งเกิดจากการอักเสบภายในลำไส้ ที่ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
ท้องเสีย เกิดจากอะไร
สาเหตุของท้องเสียเกิดจาก ปัจจัยดังต่อไปนี้
- การติดเชื้อไวรัส : โดยเฉพาะไวรัสโรต้า (Rotavirus) ที่สามารถแพร่กระจายได้ง่าย โดยส่งผลให้เกิดการอักเสบที่บริเวณลำไส้ ซึ่งนำไปสู่อาการท้องเสีย และทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ และเกลือแร่ได้ในที่สุด
- การติดเชื้อแบคทีเรีย : ที่บริเวณระบบทางเดินอาหาร ซึ่งมักเกิดขึ้นจากการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น เชื้ออิโคไล (Escherichia coli)
- รับประทานอาหารรสจัด : อาจทำให้ระบบทางเดินอาหารเกิดการระคายเคือง และนำไปสู่ผลกระทบที่ทำให้ท้องเสียขึ้นได้
- โรคที่เกี่ยวข้องระบบทางเดินอาหาร : เช่น โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ที่อาจทำให้มีอาการท้องเสียเรื้อรัง หรือโรคลำไส้แปรปรวน ที่อาจทำให้มีอาการท้องผูกสลับกับท้องเสีย เป็นต้น
- ภาวะแพ้สารให้ความหวาน : เช่น น้ำตาลแลคโตส น้ำตาลกลูโคส หากรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ส่วนผสมเหล่านี้ อาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
ท้องเสีย มีกี่แบบ
ท้องเสีย สามารถแบ่งประเภทตามลักษณะของการเกิด และความรุนแรงดังต่อไปนี้
ท้องเสียแบบเฉียบพลัน
ท้องเสียแบบเฉียบพลัน มักมีลักษณะที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน และสามารถหายได้เองในระยะเวลา 1-2 วัน โดยสาเหตุส่วนมากมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย จากการรับประทานอาหารถูกสุขอนามัย
ท้องเสียแบบต่อเนื่อง
ท้องเสียแบบต่อเนื่อง มักมีความรุนแรงระดับกลาง โดยอาการจะเกิดขึ้นประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ โดยสาเหตุสามารถเกิดขึ้นได้จากโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคลำไส้อักเสบบางชนิด เป็นต้น
ท้องเสียแบบเรื้อรัง
ท้องเสียแบบเรื้อรัง มักมีระดับความรุนแรงมาก ซึ่งจะมีอาการเกิดขึ้นต่อเนื่องมากกว่า 4 สัปดาห์ขึ้นไป โดยสาเหตุอาจเกิดขึ้นได้จากการเป็นโรคร้ายแรง เช่น โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง หรือโรคมะเร็งลำไส้ เป็นต้น
สังเกตอุจจาระแบบไหน ใช่ท้องเสีย
สังเกตอุจจาระแบบไหน ใช่ท้องเสีย โดยทั่วไปแล้วสามารถจำแนกได้เป็นลักษณะดังนี้
- อุจจาระเหลวเป็นน้ำ : ที่ในบางครั้งไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ มักมีกลิ่นที่รุนแรงผิดปกติ โดยในบางครั้งผู้ป่วยอาจไม่สามารถควบคุมการขับได้ด้วยตนเอง
- อุจจาระมีมูกเลือดปน : สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า และอาจมีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดท้องบิด มีไข้ เป็นต้น
อาการแบบไหน ควรพบแพทย์ด่วน
อาการแบบไหน ควรพบแพทย์ด่วน แม้ว่าบางครั้งอาการท้องเสียอาจไม่รุนแรง และสามารถหายได้เองใน 1-2 วัน แต่หากพบว่าเริ่มถ่ายบ่อยครั้งในระหว่างวัน ร่วมกับมีอาการแทรกซ้อน เช่น ไข้สูง รู้สึกคลื่นไส้ รวมถึงขับถ่ายแบบมีเลือดปน ควรรีบเข้าพบแพทย์ และเข้ารับการรักษา เพื่อป้องกันความภาวะขาดน้ำที่เป็นอันตรายต่อร่างหายได้
ท้องเสีย รักษายังไง
หลายคนอาจสงสัยว่าท้องเสียต้องรักษายังไง ท้องเสียกินยาอะไร โดยทั่วไปแล้วการรักษามักจะเน้นไปที่การบรรเทาอาการ และป้องกันไม่ให้ร่างกายอยู่ในภาวะขาดน้ำ ซึ่งมีวิธีหลัก ๆ ดังนี้
ยาคาร์บอน หรือยาผงถ่าน
ยาคาร์บอน หรือยาผงถ่าน เป็นกลุ่มยาที่ช่วยในการดูดซับสารพิษที่อยู่ภายในระบบทางเดินอาหาร อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย โดยยาชนิดนี้จะช่วยบรรเทาความรู้สึกไม่สบายท้อง รวมถึงลดปริมาณการขับถ่ายให้น้อยลง ซึ่งสามารถรับประทานได้ครั้งละ 2 เม็ด และหากยังมีอาการสามารถทานซ้ำได้ทุก ๆ 3-4 ชั่วโมง
ผงเกลือแร่ โอ อาร์ เอส
ผงเกลือแร่ โอ อาร์ เอส เป็นกลุ่มยาที่จะช่วยชดเชยน้ำให้ร่างกายที่เสียไปจากอาการท้องเสีย โดยวิธีรับประทานสามารถผสมผงเกลือแร่กับน้ำสะอา ในปริมาณที่เหมาะสม
กลุ่มยาหยุดถ่าย
กลุ่มยาหยุดถ่าย เป็นยาที่มักใช้ในกรณีที่ทำการรักษาด้วยคาร์บอน และผงเกลือแร่ไม่ได้ผล โดยกลุ่มยาหยุดถ่ายจะช่วยบรรเทาอาการ ทั้งลดความถี่ และปริมาณของการขับถ่ายให้อยู่ในภาวะปกติ
สำหรับวิธีรับประทานยาสามารถทานได้ 2 เม็ดหลังรับยาชนิดนี้ครั้งแรก โดยสามารถทานซ้ำได้ครั้งละ 1 เม็ด เมื่อมีอาการถ่ายเหลว โดยมีข้อควรระวังคือไม่ควรทานเกิน 8 เม็ดต่อวัน และไม่ควรทานยาชนิดนี้เมื่อมีการขับถ่ายปนเลือด
สรุป
อาการท้องเสีย มักเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้บ่อย แต่เมื่อใดที่อาการไม่สามารถหายได้เองภายใน 1-2 วัน หรือาจมีอาการอื่น ๆ แทรกซ้อน เช่น การขับถ่ายมีมูกเลือดปน มีไข้ รู้สึกหนาวสั่น ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อป้องกันร่างกายอาจมีภาวะขาดน้ำ ซึ่งสามารถเป็นอันตรายต่อร่างกายถึงขั้นเสียชีวิตได้