เคยรู้สึกไหม? ว่าทำไมเราถึงมีอาการท้องอืด ท้องผูก อยู่บ่อย ๆ ทำอย่างไรก็ไม่ดีขึ้น หากใครที่เกิดอาการแบบนี้อยู่เป็นประจำ การดีท็อกซ์ลำไส้อาจช่วยคุณได้ ในบทความนี้เราจะพาไปรู้จักกับประโยชน์ของการดีท็อกซ์ รวมถึงมีวิธีการอย่างไร พร้อมข้อควรระวังในการทำดีท็อกซ์ลำไส้ ติดตามกันได้เลย
การดีท็อกซ์ลำไส้คืออะไร?
การดีท็อกซ์ลำไส้ คือการขับถ่ายของเสีย และสารพิษออกจากลำไส้ใหญ่ เนื่องจากหากลำไส้ใหญ่มีของเสียตกค้างอยู่เป็นจำนวนมาก อาจทำให้ร่างกายดูดซึมของเสียเหล่านั้นกลับเข้าสู่ร่างกายซ้ำ ๆ จนส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เช่น เกิดอาการท้องผูก ท้องเสีย ปวดท้องบ่อย ไปจนถึงการเป็นโรคลำไส้อักเสบได้
การดีท็อกซ์ลำไส้ช่วยอะไร?
ประโยชน์ของการดีท็อกซ์ลำไส้มีอยู่หลายประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย ผิวพรรณ หรือการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนี้
ช่วยให้ลำไส้สะอาดและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การจำกัดของเสียออกจากลำไส้จะช่วยให้ภายในลำไส้สะอาด และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ช่วยลดอาการท้องผูก ท้องเสีย
การดีท็อกซ์ของเสียออกจากลำไส้จะช่วยลดโอกาสการเกิดอาการท้องผูก หรืออาการท้องเสียที่เกิดจากสิ่งสกปรกในลำไส้ได้
ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเดินอาหารต่าง ๆ
การทำความสะอาดภายในลำไส้ด้วยการดีท็อกซ์ จะช่วยลดการสะสมของสิ่งสกปรกในลำไส้ ที่อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุทำให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคกระเพาะอาหาร และโรคลำไส้อักเสบ เป็นต้น
ช่วยให้ระบบย่อยอาหารและขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคแล้ว การทำดีท็อกซ์ยังจะทำให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้ร่างกายย่อยอาหารได้ดีและเร็วขึ้น อีกทั้งยังสามารถขับถ่ายกากอาหารได้คล่องตัวขึ้นด้วย
ช่วยให้ผิวพรรณสดใส
เมื่อไม่มีของเสียสะสมในร่างกาย และร่างกายไม่ต้องดูดซึมของเสียเหล่านั้นซ้ำ ๆ ก็จะทำให้ผิวพรรณของเราสดใส ไม่ว่าจะเป็นผิวหน้า ผิวกาย ก็ดูสุขภาพดีน่ามอง
ช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า
ไม่เพียงแค่ผิวพรรณเท่านั้น แต่การที่ร่างกายไม่มีของเสียสะสมอยู่ รวมถึงไม่มีอาการท้องผูก ท้องเสีย ก็จะช่วยให้เรารู้สึกมีชีวิตชีวา สดชื่น สามารถใช้ชีวิตได้อย่างคล่องตัวขึ้นด้วย
การดีท็อกซ์ลำไส้ทำได้ด้วยวิธีใดบ้าง?
ในปัจจุบันการทำดีท็อกซ์ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะส่งผลดีต่อร่างกายของเรา โดยสามารถไปเข้ารับบริการที่โรงพยาบาล หรือหากต้องการทำเองที่บ้านเบื้องต้นก็ทำได้เช่นกัน
การสวนล้างลำไส้ (Colon hydrotherapy)
การล้างสวนลำไส้เป็นวิธีการดีท็อกซ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยแพทย์จะใส่น้ำบริสุทธิ์ หรือน้ำเกลือเข้าไปในลำไส้ใหญ่ผ่านทางทวารหนัก เพื่อให้น้ำที่ใส่เข้าไปดันอุจจาระและของเสียออกมาทางทวารหนัก โดยจะทำจนกว่าน้ำที่ไหลออกมาจะปราศจากของเสีย
ดีท็อกซ์เบื้องต้นด้วยตัวเอง
การดีท็อกซ์ลำไส้ด้วยตัวเองที่ทำได้ง่าย ๆ ก็คือ การเลือกรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง และดื่มน้ำเยอะ ๆ โดยอาจเลือกทานผักผลไม้ที่มีกากใยสูงอย่างกล้วย มะขาม มะม่วง ถั่วต่าง ๆ เมล็ดเจีย และอื่น ๆ อีกมากมาย หรือเลือกทานผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์เสริมอาหารก็ได้เช่นกัน
อาการแบบไหนที่บ่งบอกว่าควรดีท็อกซ์ลำไส้
- ท้องผูก ท้องเสีย
- ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ
- อาหารไม่ย่อย
- มีกลิ่นปาก
- ลิ้นเป็นฝ้า
- แผลในปาก
- ริดสีดวงทวาร
- ผิวพรรณไม่สดใส
- รู้สึกอ่อนเพลีย
ข้อควรระวังในการดีท็อกซ์ลำไส้
การดีท็อกซ์ลำไส้อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น อาการปวดท้อง และการถ่ายคล้ายท้องเสีย รวมถึงอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน โดยหากมีอาการเหล่านี้ควรหยุดทำทันที นอกจากนี้ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำดีท็อกซ์ลำไส้เพื่อความปลอดภัยก็จะดีที่สุด
การดีท็อกซ์ลำไส้ควรทำบ่อยแค่ไหน?
การทำดีท็อกซ์ไม่ควรทำติดต่อกัน และไม่ควรทำบ่อยเกินไป เนื่องจากอาจทำให้ลำไส้เสียสมดุลได้ แต่โดยทั่วไป สามารถทำดีท็อกซ์ลำไส้ได้ทุก 2-3 เดือน หรือทำตามคำแนะนำของแพทย์
หากมีอาการท้องผูกบ่อย ๆ และมีอาการน่าสงสัยอื่น ๆ ที่บ่งบอกว่าอาจมีของเสียตกค้างอยู่ในลำไส้เยอะ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการทำดีท็อกซ์ลำไส้เพื่อความปลอดภัย โดยสามารถนัดหมายเพื่อเข้าพบแพทย์ที่โรงพยาบาลสินแพทย์ เสรีรักษ์ โรงพยาบาลเขตมีนบุรี เรามีศูนย์เฉพาะทางหลากหลายด้านให้เลือกใช้บริการ ติดต่อได้ที่เบอร์ 02-761-9888