เวียนศีรษะบ้านหมุน อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

28 เม.ย. 2568 | เขียนโดย

เวียนศีรษะบ้านหมุน Vertigo

คือ อาการที่ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวกำลังหมุนหรือเคลื่อนที่ ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น อาการนี้แตกต่างจากภาวะวิงเวียนศีรษะทั่ว ๆ ไปที่มักหมายถึงความรู้สึกหน้ามืดหรือโคลงเคลงธรรมดา เวียนศีรษะบ้านหมุนมักเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระบบทรงตัวในหูชั้นในหรือสมองที่ควบคุมการทรงตัวของร่างกายจัดเป็นอาการหนึ่งที่เกิดจากโรคหรือความผิดปกติอื่น มากกว่าจะเป็นโรคแยกเฉพาะในตัวของมันเอง

 

สาเหตุของเวียนศีรษะบ้านหมุน

  • โรคหินปูนหูชั้นในเคลื่อน (BPPV): เป็นสาเหตุของเวียนศีรษะบ้านหมุนที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากผลึกแคลเซียมขนาดเล็กในหูชั้นในหลุดออกจากตำแหน่งปกติและไปรบกวนระบบรับรู้การทรงตัวในช่องหูชั้นใน เมื่อขยับศีรษะบางท่า (เช่น ล้มตัวลงนอนหรือเงยหน้า) จะกระตุ้นให้เกิดอาการบ้านหมุนขึ้นมาได้

  • โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s disease): ความผิดปกติของหูชั้นในที่เชื่อว่าเกิดจากการมีของเหลวในหูชั้นในมากเกินไปหรือความดันในหูเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เกิดอาการบ้านหมุนเป็นช่วง ๆ ร่วมกับมีเสียงดังในหู (หูอื้อ) และการได้ยินลดลงเป็นพัก ๆ

  • เส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ/หูชั้นในอักเสบ (Vestibular neuritis/Labyrinthitis): การอักเสบหรือติดเชื้อไวรัสที่เส้นประสาทหูชั้นในซึ่งควบคุมการทรงตัว ทำให้เกิดอาการบ้านหมุนรุนแรงเฉียบพลัน ผู้ป่วยอาจทรงตัวไม่ได้ชั่วคราว มักเกิดตามหลังการติดเชื้อไวรัส (เช่น เชื้อไวรัสของโรคหวัดหรือไข้หวัดใหญ่)

  • ไมเกรนเวียนศีรษะ (Vestibular migraine): ไมเกรนบางชนิดสามารถทำให้เกิดอาการบ้านหมุนได้ ผู้ป่วยไมเกรนเวียนศีรษะอาจมีอาการบ้านหมุนร่วมกับปวดศีรษะไมเกรน เห็นแสงระยิบระยับ หรือไวต่อแสงและเสียงระหว่างที่มีอาการ​

  • สาเหตุอื่น ๆ: ได้แก่ การบาดเจ็บที่ศีรษะหรือคอ, เนื้องอกของหูหรือสมอง (เช่น เนื้องอกประสาทหู), โรคหลอดเลือดสมองหรือภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ, ผลข้างเคียงของยาบางชนิดที่มีพิษต่อหูชั้นใน, โรคทางระบบอื่นเช่น โรคหลอดเลือดหัวใจที่ทำให้ความดันโลหิตต่ำหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ, ภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง เป็นต้น​.

 

แนวทางการดูแลตนเองเบื้องต้น

นอกจากการรักษาทางการแพทย์ ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองเพื่อลดโอกาสการเกิดอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนหรือบรรเทาอาการเบื้องต้นได้ดังนี้:

  • หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้อาการแย่ลง: ควรหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทราบว่าเรียกอาการเวียนศีรษะ เช่น ความเครียดทางจิตใจ ความวิตกกังวล การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือสิ่งกระตุ้นอื่น ๆ ที่เคยทำให้มีอาการบ้านหมุนมาก่อน พยายามนอนหลับให้เพียงพอและจัดการความเครียดด้วยการผ่อนคลายจิตใจ เช่น ฝึกหายใจลึกหรือนั่งสมาธิ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอาการ

  • ปรับพฤติกรรมการรับประทานและสิ่งกระตุ้นร่างกาย: ลดการบริโภคเกลือ โซเดียม และงดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ รวมถึงหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เนื่องจากสารเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนเกิดขึ้นบ่อยหรือรุนแรงขึ้นได้​ การปรับอาหารและเครื่องดื่มจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีโรคน้ำในหูไม่เท่ากันหรือไมเกรนร่วมด้วย

  • รักษาร่างกายให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ: ดื่มน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มเกลือแร่ให้เพียงพอตลอดวันเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ เนื่องจากการขาดน้ำจะทำให้ความดันโลหิตลดลงและกระตุ้นอาการเวียนศีรษะได้มากขึ้น​ ควรเพิ่มการดื่มน้ำเป็นพิเศษในสภาวะที่ร่างกายสูญเสียน้ำมาก เช่น อากาศร้อนหรือหลังออกกำลังกาย

  • เคลื่อนไหวร่างกายอย่างระมัดระวัง: ระหว่างที่ยังมีอาการเวียนศีรษะ ควรเปลี่ยนอิริยบทอย่างช้า ๆ เช่น การลุกจากที่นอนหรือเก้าอี้ควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลีกเลี่ยงการหมุนหรือสะบัดศีรษะเร็วเกินไป​ หากเริ่มรู้สึกเวียนศีรษะ ควรรีบนั่งหรือนอนลงบนที่ปลอดภัยทันทีเพื่อลดโอกาสการหกล้มได้รับบาดเจ็บ และในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจนเสียการทรงตัวง่าย อาจพิจารณาใช้ไม้เท้าช่วยพยุงเดินชั่วคราวจนกว่าอาการจะดีขึ้นเพื่อป้องกันอุบัติเหตุล้มลื่น

  • พักผ่อนในที่เงียบสงบเมื่อมีอาการ: หากเกิดอาการบ้านหมุน ควรหยุดกิจกรรมแล้วนอนพักในห้องที่มืดและเงียบเพื่อช่วยลดสิ่งกระตุ้นประสาทสัมผัสที่ซ้ำเติมความรู้สึกหมุน การนอนนิ่งในที่สงบสักระยะจะช่วยให้อาการทุเลาลงได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือทำงานกับเครื่องจักรในช่วงที่ยังมีอาการเวียนศีรษะอยู่ จนกว่าจะมั่นใจว่าอาการหายเป็นปกติแล้ว

 

หากมีอาการเวียนศีรษะบ่อย หรือรุนแรง ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยให้ชัดเจน และได้รักษาอย่างเหมาะสม
📆 นัดหมายแพทย์ ศูนย์ประสาทและสมอง >>>https://shorturl.asia/tQCXq
SHARE
ข่าวประชาสัมพันธ์อื่นๆ