.
เทคโนโลยีทางการแพทย์
มาร่วมในการสร้างภาพ ภาพที่ได้จะปรากฏลงในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ และนำข้อมูลทางรังสีนี้มาใช้ดูเฉพาะส่วน ขยายภาพ หรือปรับความทึบของภาพ เพื่อศึกษาระดับความทึบต่าง ๆ เช่น เนื้อเยื่อ หรือกระดูก และส่งข้อมูลที่ต้องการแล้วไปบันทึกลงบนฟิล์ม ภาพรังสีระบบนี้ผู้ป่วยจะได้รับปริมาณรังสีน้อยกว่าการถ่ายภาพรังสีลงบนแผ่นฟิล์มตามปกติ และสามารถนำข้อมูลมาดูย้อนหลังได้ สามารถใช้เอกซเรย์ทั่วไป เช่น เอกซเรย์ปอด กระโหลกศีรษะ กระดูกแขน ,ขา และกระดูกสันหลัง เป็นต้น ซึ่งจะใช้วินิจฉัยเบื้องต้นว่า บริเวณที่เอกซเรย์มีความผิดปกติหรือไม่ เพิ่มความรวดเร็วในการเอกซเรย์ โดยหลังจากที่เอกซเรย์เสร็จ ภาพจะปรากฏภายใน 3 วินาที ภาพคมชัดและลดการเอกซเรย์ซ้ำ
และผู้ป่วยที่ไม่สามารถมารับบริการที่แผนกเอกซเรยได้ เช่น ที่หอผู้ป่วย(Ward) แผนกฉุกเฉิน (ER) แผนกผู้ป่วยหนัก (ICU) และห้องผ่าตัด(OR) สามารถเคลื่อนย้ายไปพื้นที่ต่างๆที่ต้องการได้สะดวก
ที่ใช้ตรวจดูอวัยวะภายในโดยไม่มีการใส่ส่วนของอุปกรณ์ใด ๆ เข้าไปในร่างกาย (noninvasive equipment) หลักการทำงานของเอ็มอาร์ไอจะอาศัยการทำปฏิกิริยา ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและ คลื่นความถี่วิทยุ กับ อนุภาคโปรตอนที่อยู่ในส่วนประกอบของเนื้อเยื่อแต่ละชนิด ซึ่งปฏิกิริยานี้จะทำให้ได้สัญญาณภาพ (image signal) ซึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็นภาพของอวัยวะภายในโดยระบบคอมพิวเตอร์ แมกเนติกเรโซแนนซ์ อิมเมจิ้ง (MRI) เป็นเครื่องมือปลอดรังสีเอ็กซ์เพราะไม่ใช้รังสีเอ็กซ์ในการสร้างสัญญาณภาพ ของอวัยวะภายใน
การตรวจวินิจฉัยโรคด้วยเครื่องเอกซเรยคอมพิวเตอร์ ซึ่งแพทย์จะฉายรังสีเอกซเรย์ตามร่างกายบริเวณที่ต้องการตรวจ แล้วใช้คอมพิวเตอร์สร้างเป็นภาพฉายลักษณะและอวัยวะภายในร่างกาย เพื่อประกอบการวินิจฉัยหาความผิดปกติของร่างกายต่อไป โดยวิธีการนี้จะได้ภาพที่มีความละเอียดสูงกว่าการเอกซเรย์แบบธรรมดา และสามารถใช้ตรวจอวัยวะภายในร่างกายได้เกือบทุกส่วน
– ตรวจวินิจฉัยอาการป่วย เช่น ตรวจหาการบาดเจ็บเสียหายของอวัยวะภายใน ภาวะเลือดออกของอวัยวะภายใน การไหลเวียนของเลือด การเกิดลิ่มเลือด รอยแตกร้าวของกระดูก ภาวะสมองขาดเลือด เนื้องอก และเนื้อร้าย
– ติดตามการรักษาอาการป่วย ทั้งในระหว่างการรักษาและหลังการรักษา เช่น ตรวจดูขนาดของก้อนเนื้องอก ตรวจผลหลังการรักษามะเร็ง
– ตรวจเป็นแนวทางประกอบการรักษา เช่น ตรวจหาขนาดและรูปร่างของก้อนเนื้อก่อนทำรังสีบำบัด ใช้ CT Scan เพื่อฉายภาพในขณะที่แพทย์ใช้เข็มเจาะถ่ายของเหลวในฝีออก หรือใช้เข็มนำตัวอย่างชิ้นเนื้อออกมาตรวจ
– ใช้เวลาในการตรวจ 45 นาที – 1 ชั่วโมง
Mammogram สามารถตรวจพบโรคได้ตั้งแต่ระยะแรกก่อนแสดงอาการซึ่งอาจไม่สามารถตรวจพบได้จากการตรวจสุขภาพทั่วไป ด้วยระบบที่แม่นยำสามารถตรวจรายละเอียดของเนื้อเยื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะประเมินร่วมกับการ Ultrasound เพื่อผลลัพธ์ในการวินิจฉัยมะเร็งเต้านมได้ดียิ่งขึ้น การตรวจด้วยเครื่อง Digital Mammogram ไม่มีอันตรายหรือส่งผลเสียต่อร่างกาย และใช้เวลาเพียง 10-15 นาทีเท่านั้น เนื่องจากมะเร็งเต้านมเป็นโรคที่ไม่สามารถพบเจอได้จากการตรวจคัดกรองสุขภาพโดยทั่วไป ไม่แสดงอาการในระยะแรกจึงควรต้องตรวจวินิจฉัยผ่านเครื่อง Digital Mammogram ซึ่งเป็นเครื่องเฉพาะทางเพื่อความแม่นยำเท่านั้น หากตรวจพบโรคมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะแรก ๆ จะทำให้สามารถรักษาได้ง่ายกว่าระยะหลัง ๆ ได้มาก เนื่องจากคุณภาพของภาพการตรวจที่สูง มีความชัดเจน และแม่นยำ
จับภาพอวัยวะหรือส่วนต่างๆภายในร่างกาย ซึ่งนอกจากจะใช้ในการตรวจดูทารกในครรภ์ได้แล้ว ยังสามารถใช้ในการตรวจวินิจฉัยโรคหรือเป็นเครื่องมือช่วยให้แพทย์เห็นภาพร่างกายในขณะที่ทำการฉีดยา เป็นการตรวจที่ปลอดภัย เพราะไม่ใช้รังสีเอกซ์ คลื่นแม่เหล็กหรือคลื่นวิทยุ และไม่มีการฉีดสี ดังนั้นจึงสามารถทำการตรวจซ้ำๆ ได้บ่อยกว่าการตรวจแบบ X-rays และการตรวจแบบ MRI สามารถตรวจได้ทุกเนื้อเยื่อหรืออวัยวะเช่นเดียวกับการตรวจ x-rays และการตรวจแบบ MRI แม้ความละเอียดชัดเจนของภาพจะเทียบเท่าแต่สามารถประเมินและวินิจฉัยได้เช่นกัน สามารถจับภาพเนื้อเยื่ออ่อนได้ชัดเจนกว่าการตรวจแบบ X-rays ราคาในการตรวจด้วยเครื่อง Ultrasound diagnostic มีค่าใช้จ่ายถูกกว่าการตรวจแบบ x-rays และการตรวจแบบ MRI ค่อนข้างมาก
สามารถตรวจวินิจฉัยอะไรได้บ้าง?