
โรคซิฟิลิส (Syphilis)
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ซึ่งสามารถแพร่เชื้อได้ง่ายและมีผลกระทบต่อหลายระบบในร่างกาย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ความผิดปกติของสมอง หัวใจ และหลอดเลือด
สาเหตุของโรคซิฟิลิส
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- การสัมผัสแผลหรือผื่นของผู้ติดเชื้อ
- การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในครรภ์หรือระหว่างคลอด
- การรับเลือดที่มีเชื้อ (พบได้น้อยมาก)
แต่โรคซิฟิลิสไม่สามารถติดต่อผ่าน การใช้ห้องน้ำร่วมกัน การจับมือ หรือการใช้ภาชนะร่วมกัน
อาการของโรคซิฟิลิส และการวินิจฉัยของโรคซิฟิลิส
ระยะที่ 1 – แผลริมแข็ง (Chancre)
- แผลไม่เจ็บ มักเกิดที่อวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก
- หายได้เองภายใน 3–6 สัปดาห์ แต่เชื้อยังคงอยู่
ระยะที่ 2 – ผื่นและอาการทั่วไป
- ผื่นขึ้นตามตัว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า
- อาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ผมร่วง
ระยะแฝง – ไม่มีอาการ
- เชื้อยังอยู่ในร่างกายแต่ไม่แสดงอาการ
- อาจอยู่ได้นานหลายปี
ระยะที่ 3 – ระยะรุนแรง
- เชื้อทำลายอวัยวะภายใน เช่น สมอง หัวใจ ตา หรือกระดูก
- อาจทำให้พิการหรือเสียชีวิตได้ 1
การตรวจและวินิจฉัยโรคซิฟิลิส
- ตรวจเลือดเบื้องต้น เช่น VDRL หรือ RPR
- ตรวจยืนยันด้วย TPHA หรือ FTA-ABS
- หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับการตรวจคัดกรองทุกคน เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อสู่ทารก
การรักษาโรคซิฟิลิส
- ใช้ยาปฏิชีวนะ Benzathine Penicillin G ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
- หากแพ้เพนิซิลลิน แพทย์จะพิจารณายาทดแทน
- ควรติดตามผลเลือดหลังการรักษาอย่างต่อเนื่อง
การป้องกันการติดเชื้อซิฟิลิส
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
- หญิงตั้งครรภ์ควรฝากครรภ์และตรวจเลือดตามกำหนด
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข: ddc.moph.go.th
PPTV Online: pptvhd36.com