รักษาได้ หากรู้ทัน โรคซิฟิลิส (Syphilis)

16 มิ.ย. 2568 | เขียนโดย

โรคซิฟิลิส (Syphilis)

เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ซึ่งสามารถแพร่เชื้อได้ง่ายและมีผลกระทบต่อหลายระบบในร่างกาย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ความผิดปกติของสมอง หัวใจ และหลอดเลือด

 

สาเหตุของโรคซิฟิลิส

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
  • การสัมผัสแผลหรือผื่นของผู้ติดเชื้อ
  • การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในครรภ์หรือระหว่างคลอด
  • การรับเลือดที่มีเชื้อ (พบได้น้อยมาก)

แต่โรคซิฟิลิสไม่สามารถติดต่อผ่าน การใช้ห้องน้ำร่วมกัน การจับมือ หรือการใช้ภาชนะร่วมกัน

 

อาการของโรคซิฟิลิส และการวินิจฉัยของโรคซิฟิลิส

 

ระยะที่ 1 – แผลริมแข็ง (Chancre)

  • แผลไม่เจ็บ มักเกิดที่อวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก
  • หายได้เองภายใน 3–6 สัปดาห์ แต่เชื้อยังคงอยู่

ระยะที่ 2 – ผื่นและอาการทั่วไป

  • ผื่นขึ้นตามตัว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า
  • อาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ผมร่วง

ระยะแฝง – ไม่มีอาการ

  • เชื้อยังอยู่ในร่างกายแต่ไม่แสดงอาการ
  • อาจอยู่ได้นานหลายปี

ระยะที่ 3 – ระยะรุนแรง

  • เชื้อทำลายอวัยวะภายใน เช่น สมอง หัวใจ ตา หรือกระดูก
  • อาจทำให้พิการหรือเสียชีวิตได้ 1

 

การตรวจและวินิจฉัยโรคซิฟิลิส

  1. ตรวจเลือดเบื้องต้น เช่น VDRL หรือ RPR
  2. ตรวจยืนยันด้วย TPHA หรือ FTA-ABS
  3. หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับการตรวจคัดกรองทุกคน เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อสู่ทารก

การรักษาโรคซิฟิลิส

  • ใช้ยาปฏิชีวนะ Benzathine Penicillin G ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
  • หากแพ้เพนิซิลลิน แพทย์จะพิจารณายาทดแทน
  • ควรติดตามผลเลือดหลังการรักษาอย่างต่อเนื่อง

การป้องกันการติดเชื้อซิฟิลิส

  1. ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  2. หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน
  3. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
  4. หญิงตั้งครรภ์ควรฝากครรภ์และตรวจเลือดตามกำหนด

 

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข: ddc.moph.go.th

PPTV Online: pptvhd36.com

SHARE
ข่าวประชาสัมพันธ์อื่นๆ