
อาการปวดท้องเฉียบพลันบริเวณด้านขวาล่าง เป็นสัญญาณเตือนของภาวะไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วด้วยการผ่าตัด อย่างไรก็ตามหลายคนอาจมีคำถามว่าหากเป็นไส้ติ่งอักเสบแล้วไม่ผ่าตัดได้หรือไม่ จะส่งผลอันตรายต่อร่างกายอย่างไร มีวิธีอื่นในการรักษาอย่างปลอดภัยหรือเปล่า? อย่างไรก็ตามการเข้าใจภาวะไส้ติ่งอักเสบ ผลกระทบที่เกิดขึ้นหากไม่ได้รับการรักษา และแนวทางปฏิบัติเมื่อสงสัยว่าตนเองมีอาการไส้ติ่งอักเสบ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจในการเข้ารับการรักษาได้อย่างเหมาะสม
ทำความเข้าใจ “ไส้ติ่งอักเสบ” อย่างรวดเร็ว
ไส้ติ่ง คือ อวัยวะขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นท่อตัน ยื่นออกมาจากส่วนต้นของลำไส้ใหญ่ส่วนที่เรียกว่า ซีคัม โดยทั่วไปแล้วไส้ติ่งจะมีความยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร ตำแหน่งของไส้ติ่งส่วนใหญ่อยู่บริเวณท้องด้านขวาล่าง แต่ก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งได้ในบางคน
หน้าที่ของไส้ติ่งในร่างกายมนุษย์ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่มีทฤษฎีกล่าวว่าไส้ติ่งมีหน้าที่เป็นแหล่งพักของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้ใหญ่ ช่วยในการฟื้นฟูสมดุลของจุลชีพในลำไส้ นอกจากนี้ไส้ติ่งอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย
เป็นไส้ติ่งอักเสบ ไม่ผ่าตัดได้หรือไม่?
ไส้ติ่งอักเสบ เป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดโดยเร็วที่สุด การปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำการผ่าตัดอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ถึงแม้ว่าในบางกรณีที่อาการอักเสบไม่รุนแรงมาก ร่างกายสามารถจำกัดการอักเสบได้เองหรืออาจมีการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อช่วยลดการอักเสบ แต่แนวทางการรักษาหลักสำหรับไส้ติ่งอักเสบยังคงเป็นการผ่าตัดเพื่อนำไส้ติ่งที่อักเสบออก การไม่ผ่าตัดอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงตามมา
ผลกระทบและผลข้างเคียงถ้าหากไม่ผ่าตัดไส้ติ่ง
หากผู้ป่วยที่มีภาวะไส้ติ่งอักเสบ ไม่ได้รับการผ่าตัดเพื่อนำไส้ติ่งที่อักเสบออกไป อาจมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
ไส้ติ่งแตก (Ruptured Appendix)
เมื่อไส้ติ่งเกิดการอักเสบและไม่ได้รับการรักษา การอักเสบจะรุนแรงขึ้นทำให้ผนังของไส้ติ่งบางลงและแตกในที่สุด การแตกของไส้ติ่งจะทำให้เชื้อแบคทีเรียและหนองที่อยู่ภายในไส้ติ่งรั่วไหลเข้าไปในช่องท้อง ทำให้เกิดการติดเชื้อในช่องท้องอย่างรุนแรง
การเกิดฝีในช่องท้อง (Peritoneal Abscess)
ในบางกรณีร่างกายพยายามที่จะจำกัดการแพร่กระจายของการติดเชื้อ โดยการสร้างผนังขึ้นมาล้อมรอบบริเวณที่มีการติดเชื้อ ทำให้เกิดเป็นหนองสะสมหรือที่เรียกว่า ฝีในช่องท้อง ฝีนี้อาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง มีไข้สูง และอาจต้องระบายหนองออกด้วยการใส่ท่อระบายหรือการผ่าตัด
เยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis)
เยื่อบุช่องท้องอักเสบเป็นภาวะที่ร้ายแรงมักเกิดจากการแตกของไส้ติ่ง ทำให้เชื้อแบคทีเรียไหลเข้าสู่ช่องท้อง ส่งผลให้เกิดการอักเสบทั่วทั้งช่องท้อง ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องรุนแรง กดเจ็บทั่วท้อง ท้องแข็ง มีไข้สูง หัวใจเต้นเร็ว อาจมีภาวะช็อกได้และเป็นอันตรายถึงชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
การแพร่กระจายของการติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด (Sepsis)
ในบางกรณีไส้ติ่งที่แตกอาจแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต เกิดความผิดปกติในการทำงานของอวัยวะต่างๆ เช่น ความดันโลหิตต่ำลง หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว และอาจมีภาวะไตวายหรือภาวะหายใจล้มเหลวได้
หากสงสัยว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ ควรทำอย่างไร?
หากมีอาการปวดท้องเฉียบพลัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณท้องด้านขวาล่าง หรือมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโดยเร็ว ซึ่งการรักษาหลัก คือ การผ่าตัดเพื่อนำไส้ติ่งที่อักเสบ ออกไป แต่การผ่าตัดสามารถทำได้ทั้งแบบเปิดแผลหรือแบบส่องกล้อง ซึ่งแพทย์จะพิจารณาวิธีการผ่าตัดที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
สรุป
ไส้ติ่งอักเสบเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วด้วยการผ่าตัด การปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำการรักษาอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น ไส้ติ่งแตก การเกิดฝีในช่องท้อง เยื่อบุช่องท้องอักเสบ และการแพร่กระจายของการติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้น หากมีอาการที่สงสัยว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมโดยทันที