
ลำไส้อักเสบ อย่าปล่อยทิ้งไว้ อาจเป็นบ่อของเกิดโรค “มะเร็งลำไส้”
“มะเร็งลำไส้” เป็นหนึ่งในโรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อถูกตรวจพบในระยะท้าย ๆ ซึ่งการรักษาจะยากขึ้น น้อยคนนักที่จะรู้ว่าหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงของโรคนี้มาจากอาการลำไส้อักเสบเรื้อรังที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง
ทุกวันนี้ หลายคนอาจมองว่าอาการปวดท้อง ท้องเสีย หรือปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่ายเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นได้ตามปกติ แต่รู้หรือไม่ว่า อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงอย่าง “ลำไส้อักเสบ” ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย รวมถึงการเกิด “มะเร็งลำไส้” ได้
ในวันนี้ สินแพทย์ กาญจนบุรี จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับความแตกต่างระหว่างโรคท้องเสียและโรคลำไส้อักเสบ รวมถึงสาเหตุ อาการ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และวิธีการวินิจฉัยโรคมะเร็งลำไส้ เพื่อให้คุณสามารถสังเกตอาการและดูแลสุขภาพของตัวเองได้อย่างถูกต้อง
โรคท้องเสีย VS โรคลำไส้อักเสบ ต่างกันยังไง
โรคท้องเสีย VS โรคลำไส้อักเสบ มีความแตกต่างกัน ดังนี้
- โรคท้องเสีย (Diarrhea): เป็นภาวะที่มีการถ่ายอุจจาระเหลวหรือถ่ายบ่อยครั้ง มักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิตในอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน อาการทั่วไป ได้แก่ ถ่ายเหลว ปวดเกร็งท้อง คลื่นไส้ และอาจเกิดภาวะขาดน้ำหากถ่ายบ่อยและไม่ได้รับน้ำทดแทนเพียงพอ อาการมักหายได้เองภายใน 1-3 วัน หากไม่รุนแรง
- โรคลำไส้อักเสบ (Ulcerative Colitis): เป็นภาวะที่เยื่อบุลำไส้ใหญ่เกิดการอักเสบ มักพบในผู้ที่ทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค ทานยาปฏิชีวนะ หรือภูมิคุ้มกันผิดปกติ โดยโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD) หรือการขาดเลือดไปเลี้ยงลำไส้ อาการมักรุนแรงกว่าท้องเสียทั่วไป รวมถึงปวดท้องมาก ถ่ายเป็นมูกเลือด มีไข้สูง น้ำหนักลด โลหิตจาง และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ลำไส้ทะลุ หรือเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ในกรณีเรื้อรัง
สาเหตุการเกิดอาการลำไส้อักเสบ
สาเหตุการเกิดอาการลำไส้อักเสบมีหลายปัจจัย เช่น การติดเชื้อจากแบคทีเรีย ไวรัส หรือปรสิต ซึ่งอาจมาจากอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน การใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานานอาจทำให้สมดุลของแบคทีเรียในลำไส้เสียไป ส่งผลให้เชื้อโรคบางชนิดเติบโตมากผิดปกติและทำให้เกิดอาการอักเสบได้ อีกสาเหตุหนึ่งคือโรคภูมิต้านตนเอง เช่น Inflammatory Bowel Disease (IBD) ที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโจมตีลำไส้ของตัวเองจนเกิดการอักเสบเรื้อรัง นอกจากนี้ ภาวะขาดเลือด (Ischemic colitis) อาจเกิดขึ้นได้จากการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงลำไส้ หรือปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งทำให้ลำไส้ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอจนเกิดการอักเสบ
ผลกระทบที่ปล่อยทิ้งไว้หากไม่รักษาลำไส้อักเสบ
หากปล่อยให้ภาวะลำไส้อักเสบดำเนินไปโดยไม่ได้รับการรักษา อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรง ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ปวดท้องเรื้อรังหรือระบบย่อยอาหารผิดปกติ แต่ยังอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายมากขึ้น ได้แก่
ลำไส้อักเสบเรื้อรัง
ผู้ป่วยที่มีลำไส้อักเสบเรื้อรังอาจเผชิญกับอาการปวดท้องเรื้อรัง ท้องเสียเรื้อรัง อ่อนเพลีย และน้ำหนักลดผิดปกติ เนื่องจากลำไส้ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การอักเสบที่ต่อเนื่องอาจทำให้เกิดแผล ตีบตัน หรือรูทะลุในลำไส้ ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อรุนแรงในช่องท้องและภาวะลำไส้อุดตันที่อาจต้องเข้ารับการผ่าตัดรักษา
และลำไส้อักเสบเรื้อรัง โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะลำไส้อักเสบเป็นแผล หรือ Inflammatory Bowel Disease (IBD) อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการพัฒนาเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
มะเร็งลำไส้ใหญ่
การอักเสบเรื้อรังของลำไส้ใหญ่ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มี Inflammatory Bowel Disease (IBD) หรือภาวะลำไส้อักเสบเป็นแผล อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะยาว อาการที่ควรระวัง ได้แก่ เลือดปนในอุจจาระ การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการขับถ่าย และอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง หากไม่ตรวจพบและรักษาแต่เนิ่น ๆ อาจนำไปสู่การเจริญเติบโตของเซลล์ผิดปกติที่พัฒนาเป็นมะเร็งลำไส้ได้ ดังนั้น การตรวจคัดกรองเป็นประจำจึงมีความสำคัญในการลดความเสี่ยงและตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
วิธีวินิจฉัยโรคมะเร็งลำไส้
มะเร็งลำไส้เป็นโรคที่สามารถรักษาได้หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น การวินิจฉัยที่แม่นยำและรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้แพทย์สามารถเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสม โดยทั่วไป การตรวจคัดกรองและการตรวจวินิจฉัยจะใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องและครบถ้วน ซึ่งมีวิธีดังต่อไปนี้
การตรวจหาเม็ดเลือดแดงในอุจจาระ
การตรวจหาเม็ดเลือดแดงในอุจจาระ (Fecal Occult Blood Test – FOBT) เป็นวิธีคัดกรองที่ช่วยตรวจหาเลือดที่ปนอยู่ในอุจจาระ ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หากพบว่ามีเลือดในอุจจาระ อาจเป็นสัญญาณของมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือภาวะอื่น ๆ เช่น ริดสีดวงทวารหรือแผลในทางเดินอาหาร โดยผู้ที่มีผลตรวจเป็นบวกจะต้องได้รับการตรวจเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่
การทำ CT scan
การทำ CT scan (Computed Tomography Colonography) หรือที่เรียกว่า Virtual Colonoscopy เป็นเทคนิคการถ่ายภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่สามารถสร้างภาพสามมิติของลำไส้ใหญ่ได้ วิธีนี้ช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นก้อนเนื้อผิดปกติหรือสิ่งแปลกปลอมที่อาจเป็นมะเร็งลำไส้ได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ CT scan ยังสามารถใช้เพื่อตรวจสอบการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังอวัยวะอื่น ๆ ได้อีกด้วย
การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่
การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) เป็นวิธีวินิจฉัยที่แม่นยำและใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยแพทย์จะใช้กล้องขนาดเล็กที่ติดอยู่กับท่อส่องเข้าไปในลำไส้ใหญ่เพื่อตรวจหาความผิดปกติ หากพบก้อนเนื้อหรือแผลที่น่าสงสัย สามารถเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อ (Biopsy) มาตรวจทางพยาธิวิทยาได้ทันที ถือเป็นวิธีที่สามารถตรวจพบมะเร็งลำไส้ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และยังสามารถตัดติ่งเนื้อที่อาจพัฒนาเป็นมะเร็งออกได้ในระหว่างการตรวจ
ป้องกันโรคมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ กับสินแพทย์ กาญจนบุรี
โรงพยาบาลสินแพทย์ กาญจนบุรี มีบริการตรวจคัดกรองและวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำปรึกษาและดูแลสุขภาพของคุณอย่างครบวงจร การตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้คุณมั่นใจและป้องกันโรคร้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ