ทำอย่างไร..ให้ความดันอยู่ในเกณฑ์ปกติ

22 มี.ค. 2566 | เขียนโดย โรงพยาบาลสินแพทย์ กาญจนบุรี

โรคความดันโลหิตสูง ถือเป็นภัยเงียบที่ส่งผลอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งความน่ากลัวของโรคความดันโลหิตสูง คือ มักจะไม่แสดงอาการใด ๆ กว่าจะรู้ตัวก็อาจจะเกิดโรคร้ายตามมา อาทิเช่น ภาวะหัวใจวาย หัวใจขาดเลือด เลือดไปเลี้ยงไตไม่พอ ทำให้ไตวายเรื้อรัง  หลอดเลือดสมองแตก เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น

ความดันโลหิตคืออะไร?

ความดันโลหิต คือ แรงดันของเลือดที่กระทำต่อผนังหลอดเลือดแดงขณะที่หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ค่าความดันโลหิตจะถูกวัดเป็นตัวเลขสองค่า ได้แก่
– ค่าความดันตัวบน (Systolic Blood Pressure) : คือ ค่าแรงดันในหลอดเลือดแดงขณะที่หัวใจบีบตัว
– ค่าความดันตัวล่าง (Diastolic Blood Pressure) : คือ ค่าแรงดันในหลอดเลือดแดงขณะที่หัวใจคลายตัว
ค่าความดันโลหิตจะถูกระบุเป็นมิลลิเมตรปรอท (mmHg) เช่น 120/80 mmHg ซึ่งหมายถึงค่าความดันตัวบน 120 mmHg และค่าความดันตัวล่าง 80 mmHg

 

ความดันปกติ ควรอยู่ที่ระดับเท่าไหร่?

ความดันค่าที่เหมาะสม จะอยู่ที่ 120 – 129 มิลลิเมตรปรอท สำหรับตัวบน และ 80 – 84 มิลลิเมตรปรอท สำหรับตัวล่าง แต่ถ้าหากวัดแล้ว ความดันอยู่ในระดับ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ถือว่ามีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูง

ความดันโลหิตสูงคืออะไร?

ความดันโลหิตสูง (Hypertension) คือ ภาวะที่ความดันในหลอดเลือดแดงสูงกว่าปกติอย่างต่อเนื่อง วัดได้ตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไต

 

ปัจจัยที่ส่งผลต่อความดันโลหิต

ปัจจัยหลักๆ ที่ส่งผลต่อความดันโลหิต มีดังนี้
– อายุมากขึ้น หลอดเลือดแดงจะแข็งและยืดหยุ่นน้อยลง ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
– หากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคความดันโลหิตสูง จะมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคนี้เช่นกัน
– ชายมีความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงมากกว่าผู้หญิงในช่วงวัยกลางคน แต่หลังจากวัยหมดประจำเดือน ผู้หญิงจะมีความเสี่ยงสูงขึ้น
– การบริโภคโซเดียม (เกลือ) มากเกินไป ทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำมากขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
– การบริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์สูง เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งส่งผลต่อความดันโลหิต
– น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
– ความเครียดเรื้อรัง ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่เพิ่มความดันโลหิต
– โรคบางชนิด เช่น โรคไต โรคเบาหวาน และโรคต่อมไร้ท่อ อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น

 

เราสามารถรักษาให้ความดันให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้แค่เพียงปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ดังนี้

  • ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
  • หลีกเลี่ยงความเครียด
  • ลดการทานโซเดียม โดยการงดเติมเครื่องปรุงรสเค็ม ผงชูรส หลีกเลี่ยงการทานอาหารแปรรูป
  • เพิ่มผักในอาหารทุกมื้อ เลือกผักให้หลากสีและหลากชนิด
  • เลือกทานข้าวหรือธัญพืชไม่ขัดสี เพื่อเพิ่มใยอาหาร ซึ่งจะช่วยลดการดูดซึมไขมันเข้าสู่กระแสเลือด สามารถช่วยควบคุมไขมันในเลือดได้
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และไม่สูบบุหรี่
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การรักษาความดันโลหิตเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง และควรทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนร้ายแรงที่อาจเกิดตามมา

 

FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับความดันโลหิต

ถ้าค่าความดันสูงเกิน 140/90 ถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือไม่?

โดยทั่วไป ค่าความดันโลหิตที่เหมาะสมสำหรับผู้ใหญ่คือ น้อยกว่า 120/80 mmHg ดังนั้นหากวัดความดันแล้วได้ 140/90 นับว่ามีความดันโลหิตสูง เบื้องต้นถ้าหากมีการเดิน หรือใช้กำลังมาก่อน อาจจะต้องพัก 15 นาที แล้ววัดใหม่อีกครั้ง

 

ความดันโลหิตต่ำกว่าปกติอันตรายหรือไม่?

ความดันโลหิตต่ำกว่าปกติ หรือค่าตัวเลขต่ำกว่า 90/60 มิลลิเมตรปรอท ถือว่าอันตราย เพราะเสี่ยงต่อการเกิดอาการดังนี้
– อาการวิงเวียนศีรษะและเป็นลม
– ภาวะช็อก ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายขาดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญ ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต
– ความเสียหายต่ออวัยวะ เช่น ไต หัวใจ และสมอง

 

ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงระหว่างวันได้หรือไม่?

ความดันโลหิตสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดทั้งวัน โดยมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง เช่น ช่วงเวลา ความดันโลหิตมักจะต่ำที่สุดในช่วงกลางคืนขณะนอนหลับ หลังจากนั้นจะค่อยๆ สูงขึ้นในช่วงเช้า สูงสุดในช่วงบ่าย และจะลดลงเล็กน้อยในช่วงเย็น หรือถ้าในด้านของอารมณ์ เมื่อมีความเครียด ความวิตกกังวล หรือความโกรธ จะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น แต่ถ้าผ่อนคลาย ความรู้สึกสงบ จะทำให้ความดันโลหิตลดลง

SHARE
ข่าวประชาสัมพันธ์อื่นๆ