“ภาวะขาโก่งในเด็ก (Bowed leg)”

8 มี.ค. 2564 | เขียนโดย นพ.ปวริศร สุขวนิช

ภาวะขาโก่ง (bowed leg) เป็นภาวะหนึ่งที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก โดยส่วนมากผู้ปกครองมักสังเกตเห็นได้มากในช่วงที่เด็กเริ่มเดินที่อายุประมาณ 1 ปี  ซึ่งภาวะขาโก่งในเด็กอาจพบได้ทั้งที่เป็นขาโก่งตามธรรมชาติ (physiologic bowed leg) ที่สามารถหายได้เอง หรือภาวะขาโก่งแบบที่เป็นโรค (pathologic bowed leg) ที่อาจมาจากหลายสาเหตุและจำเป็นต้องได้รับการรักษาที่เหมาะสม การสังเกตในเบื้องต้นว่าเด็กที่มีภาวะขาโก่งนั้นเป็นขาโก่งตามธรรมชาติ หรือขาโก่งแบบที่เป็นโรคนั้นอาจสังเกตได้จาก 1.อายุ โดยปกติแล้วเด็กทุกคนจะมีขาที่โก่งตามธรรมชาติอยู่แล้วเมื่อแรกเกิด แต่เมื่อโตขึ้นขาจะค่อย ๆ ตรงขึ้นได้เองและควรมีขาที่ตรงเมื่ออายุประมาณ 2 ปี ดังนั้นถ้าเด็กมีอายุมากกว่า 2 ปีแล้วแต่ยังคงมีขาที่โก่งอยู่ควรปรึกษาแพทย์เพราะอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นขาโก่งแบบที่เป็นโรค ขาที่โก่งนั้นเป็นทั้ง 2 ข้างหรือไม่ 2.ภาวะขาโก่งตามธรรมชาติ ขาควรจะโก่งพอๆกันทั้ง 2 ข้าง หากเด็กมีภาวะขาโก่งข้างเดียวหรือความโก่งของขาทั้ง 2 ข้างต่างกันมากอย่างชัดเจนน่าจะเป็นขาโก่งแบบที่เป็นโรค 3.ความอ้วนของเด็กนั้นเป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่ทำให้เป็นโรคขาโก่ง ดังนั้นหากพบว่าเด็กมีภาวะขาโก่งร่วมกับมีน้ำหนักตัวมากกว่าเกณฑ์จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะเป็นขาโก่งแบบเป็นโรค 4.เริ่มเดินได้เร็วจากรายงานทางการแพทย์พบว่าการที่เด็กเริ่มเดินได้เร็วกว่าปกติเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งของการเกิดภาวะขาโก่ง ในภาวะขาโก่งแบบที่เป็นโรคจำเป็นจะต้องได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันความผิดรูปของขาหรือภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงในอนาคต เช่น ข้อเข่าเสื่อมก่อนวัย ขาสั้นผิดรูปเป็นต้น ในด้านการรักษาในปัจจุบันนั้นอาจทำได้โดยการใส่อุปกรณ์ดามขาหรือการผ่าตัด ทั้งนี้ต้องพิจารณาถึงความรุนแรงและอายุของผู้ป่วยด้วยเพราะหากเริ่มทำการรักษาช้าเกินไปหรือไม่เหมาะสมอาจทำให้ผลการรักษาไม่ดีหรือขาผิดรูปได้ สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองอาจช่วยลดความเสี่ยงของภาวะขาโก่งในบุตรหลานได้โดย ระวังไม่ให้เด็กมีภาวะอ้วนที่เป็นความเสี่ยงสำคัญของภาวะขาโก่ง และไม่พยายามกระตุ้นให้เด็กเดินเร็วเกินวัยเช่นการใช้รถเข็นหัดเดิน(baby walker) เพราะนอกจากจะเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มแล้วยังอาจทำให้เด็กขาโก่งหรือติดเดินเขย่งเท้าได้ หากพบว่าบุตรหลานมีภาวะขาโก่งหากไม่แน่ใจควรปรึกษาแพทย์เพื่อช่วยวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันเวลาและเหมาะสม ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับภาวะขาโก่ง ในการรักษาผู้ป่วยเด็กขาโก่งนั้นพบว่ายังมีความเชื่อผิดๆอยู่หลายประการเช่น 1.ลูกขาโก่งเพราะใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ความเชื่อนี้ไม่จริง อาจเป็นเพราะช่วงที่เด็กยังเล็กเมื่อใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปจะเห็นว่าขาโก่งแต่นั่นเป็นภาวะขาโก่งตามธรรมชาติของเด็กเล็กอยู่แล้ว และไม่มีรายงานทาวการแพทย์ที่พบว่าการใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคขาโก่งได้ 2.อุ้มลูกเข้าเอวทำให้ขาโก่ง เรื่องนี้ก็ไม่เป็นความจริง การอุ้มลูกนั้นไม่ว่าท่าใดก็ไม่ใช้สาเหตุที่ทำให้เกิดขาโก่ง 3.การดัดขาหรือใช้ผ้ารัดขาเด็กช่วยให้ขาหายโก่ง เป็นความเชื่อที่เชื่อกันมากแต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นความจริง อาจเนื่องมาจากการที่ในอดีตมีผู้ปกครองที่สังเกตว่าลูกขาโก่งแล้วพยายามดัดหรือใช้ผ้ารัดขาคู่กันแล้วพบว่าต่อมาเด็กขาโก่งลดลง แต่ในความเป็นจริงเกิดจากเด็กเป็นภาวะขาโก่งตามธรรมชาติ ซึ่งจะดีขึ้นได้เองอยู่แล้วเมื่อเด็กโตมากขึ้นแม้ไม่ได้รับการรักษาใดๆ ทำให้ดูเหมือนการดัดขาได้ผล ลดการขาโก่งได้ แต่ถ้าหากเป็นภาวะขาโก่งที่เป็นโรคการดัดขาหรือการใช้ผ้าพันจะไม่สามารถรักษาได้และทำให้เด็กเกิดความเจ็บปวดรวมถึงอาจทำให้เกิดกระดูกหักได้ และยิ่งได้รับการรักษาที่เหมาะสมล่าช้าออกไปจึงไม่ควรดัดขาลูก



          ภาวะขาโก่ง (bowed leg) เป็นภาวะหนึ่งที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก โดยส่วนมากผู้ปกครองมักสังเกตเห็นได้มากในช่วงที่เด็กเริ่มเดินที่อายุประมาณ 1 ปี  ซึ่งภาวะขาโก่งในเด็กอาจพบได้ทั้งที่เป็นขาโก่งตามธรรมชาติ (physiologic bowed leg) ที่สามารถหายได้เอง หรือภาวะขาโก่งแบบที่เป็นโรค (pathologic bowed leg) ที่อาจมาจากหลายสาเหตุและจำเป็นต้องได้รับการรักษาที่เหมาะสม การสังเกตในเบื้องต้นว่าเด็กที่มีภาวะขาโก่งนั้นเป็นขาโก่งตามธรรมชาติ หรือขาโก่งแบบที่เป็นโรคนั้นอาจสังเกตได้จาก

 

  1. อายุ
    โดยปกติแล้วเด็กทุกคนจะมีขาที่โก่งตามธรรมชาติอยู่แล้วเมื่อแรกเกิด แต่เมื่อโตขึ้นขาจะค่อย ๆ ตรงขึ้นได้เองและควรมีขาที่ตรงเมื่ออายุประมาณ 2 ปี ดังนั้นถ้าเด็กมีอายุมากกว่า 2 ปีแล้วแต่ยังคงมีขาที่โก่งอยู่ควรปรึกษาแพทย์เพราะอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นขาโก่งแบบที่เป็นโรค
  1. ขาที่โก่งนั้นเป็นทั้ง 2 ข้างหรือไม่
    ภาวะขาโก่งตามธรรมชาติ ขาควรจะโก่งพอๆกันทั้ง 2 ข้าง หากเด็กมีภาวะขาโก่งข้างเดียวหรือความโก่งของขาทั้ง 2 ข้างต่างกันมากอย่างชัดเจนน่าจะเป็นขาโก่งแบบที่เป็นโรค
  1. ความอ้วน
    ความอ้วนของเด็กนั้นเป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่ทำให้เป็นโรคขาโก่ง ดังนั้นหากพบว่าเด็กมีภาวะขาโก่งร่วมกับมีน้ำหนักตัวมากกว่าเกณฑ์จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะเป็นขาโก่งแบบเป็นโรค
  1. เริ่มเดินได้เร็ว
    จากรายงานทางการแพทย์พบว่าการที่เด็กเริ่มเดินได้เร็วกว่าปกติเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งของการเกิดภาวะขาโก่ง

 

ในภาวะขาโก่งแบบที่เป็นโรคจำเป็นจะต้องได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันความผิดรูปของขาหรือภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงในอนาคต เช่น ข้อเข่าเสื่อมก่อนวัย ขาสั้นผิดรูปเป็นต้น ในด้านการรักษาในปัจจุบันนั้นอาจทำได้โดยการใส่อุปกรณ์ดามขาหรือการผ่าตัด ทั้งนี้ต้องพิจารณาถึงความรุนแรงและอายุของผู้ป่วยด้วยเพราะหากเริ่มทำการรักษาช้าเกินไปหรือไม่เหมาะสมอาจทำให้ผลการรักษาไม่ดีหรือขาผิดรูปได้

 

สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองอาจช่วยลดความเสี่ยงของภาวะขาโก่งในบุตรหลานได้โดย ระวังไม่ให้เด็กมีภาวะอ้วนที่เป็นความเสี่ยงสำคัญของภาวะขาโก่ง และไม่พยายามกระตุ้นให้เด็กเดินเร็วเกินวัยเช่นการใช้รถเข็นหัดเดิน(baby walker) เพราะนอกจากจะเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มแล้วยังอาจทำให้เด็กขาโก่งหรือติดเดินเขย่งเท้าได้ หากพบว่าบุตรหลานมีภาวะขาโก่งหากไม่แน่ใจควรปรึกษาแพทย์เพื่อช่วยวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันเวลาและเหมาะสม

 

ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับภาวะขาโก่ง

ในการรักษาผู้ป่วยเด็กขาโก่งนั้นพบว่ายังมีความเชื่อผิดๆอยู่หลายประการเช่น

 

  • ลูกขาโก่งเพราะใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูป
    ความเชื่อนี้ไม่จริง อาจเป็นเพราะช่วงที่เด็กยังเล็กเมื่อใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปจะเห็นว่าขาโก่งแต่นั่นเป็นภาวะขาโก่งตามธรรมชาติของเด็กเล็กอยู่แล้ว และไม่มีรายงานทาวการแพทย์ที่พบว่าการใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคขาโก่งได้
  • อุ้มลูกเข้าเอวทำให้ขาโก่ง
    เรื่องนี้ก็ไม่เป็นความจริง การอุ้มลูกนั้นไม่ว่าท่าใดก็ไม่ใช้สาเหตุที่ทำให้เกิดขาโก่ง
  • การดัดขาหรือใช้ผ้ารัดขาเด็กช่วยให้ขาหายโก่ง
    เป็นความเชื่อที่เชื่อกันมากแต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นความจริง อาจเนื่องมาจากการที่ในอดีตมีผู้ปกครองที่สังเกตว่าลูกขาโก่งแล้วพยายามดัดหรือใช้ผ้ารัดขาคู่กันแล้วพบว่าต่อมาเด็กขาโก่งลดลง แต่ในความเป็นจริงเกิดจากเด็กเป็นภาวะขาโก่งตามธรรมชาติ ซึ่งจะดีขึ้นได้เองอยู่แล้วเมื่อเด็กโตมากขึ้นแม้ไม่ได้รับการรักษาใดๆ ทำให้ดูเหมือนการดัดขาได้ผล ลดการขาโก่งได้ แต่ถ้าหากเป็นภาวะขาโก่งที่เป็นโรคการดัดขาหรือการใช้ผ้าพันจะไม่สามารถรักษาได้และทำให้เด็กเกิดความเจ็บปวดรวมถึงอาจทำให้เกิดกระดูกหักได้ และยิ่งได้รับการรักษาที่เหมาะสมล่าช้าออกไปจึงไม่ควรดัดขาลูก

 

ปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการ ได้ที่ สาขาใกล้บ้านคุณ
คลิกลิงค์เพื่อปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทาง

โรงพยาบาลสินแพทย์ รามอินทรา

โรงพยาบาลสินแพทย์ ลำลูกกา

โรงพยาบาลสินแพทย์ เทพารักษ์

โรงพยาบาลสินแพทย์ ศรีนครินทร์

 

SHARE