โรคไข้ซิกา…อีกหนึ่งไวรัสอันตรายในหญิงตั้งครรภ์ !!! (Zika Fever)

10 ม.ค. 2568 | เขียนโดย โรงพยาบาลสินแพทย์ รามอินทรา

โรคไข้ซิกา (Zika Fever) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซิกา (Zika virus) ซึ่งอยู่ในตระกูลฟลาวิไวรัส (Flavivirus) มีลักษณะคล้ายกับไวรัสไข้เลือดออก ไวรัสไข้เหลือง และไวรัสไข้สมองอักเสบเจอี แพร่เชื้อโดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค นอกจากนี้ยังสามารถแพร่เชื้อผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ การรับเลือดและสามารถแพร่เชื้อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์ได้อีกด้วย โรคนี้พบได้ในคนทุกช่วงอายุ สามารถพบได้ตลอดทั้งปี แต่มักระบาดบ่อยในช่วงฤดูฝน



โรคไข้ซิกา (Zika Fever) มีอาการอย่างไร ?

หลังได้รับเชื้อ เชื้อไวรัสจะมีระยะฟักตัวประมาณ 3 – 10 วัน ผู้ที่รับเชื้อส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการใดๆ จะมีประมาณ 20% ของผู้ที่ได้รับเชื้อที่แสดงอาการต่าง ๆ ดังนี้

 

  • ไข้
  • ผื่นแดงตามตัว
  • ตาแดง เยื่อบุตาอักเสบ
  • ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ
  • ปวดศีรษะ
  • อ่อนเพลีย
  • ต่อมน้ำเหลืองโต

 

ผลต่อทารกในหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไวรัสซิกาเป็นอย่างไร ?

ทารกที่คลอดจากมารดาที่มีการติดเชื้อไวรัสซิการะหว่างตั้งครรภ์ มีความเสี่ยงที่จะมีภาวะศีรษะเล็ก(Microcephaly) เกิดสมองพิการแต่กำเนิด ส่งผลทำให้เกิดความผิดปกติในการได้ยิน การมองเห็น พัฒนาการและสติปัญญา ตามมาได้

 

โรคไข้ซิการักษาได้อย่างไร ?

ในปัจจุบันโรคไข้ซิกายังไม่มีการรักษาจำเพาะ การรักษาหลัก คือ การรักษาประคับประคองโดยการให้สารน้ำทดแทนและการรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ ยาบรรเทาอาการปวด ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะอาการดีขึ้นเองภายใน 2 – 7 วัน

 

วิธีป้องกันการติดเชื้อไวรัสไข้ซิกา

  • ป้องกันการถูกยุงกัด โดยการสวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ทายากันยุง นอนกางมุ้ง กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง
  • หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของไวรัสซิกา โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์
  • ในผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไข้ซิกา ผู้ป่วยหญิงควรมีการป้องกันหากมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 2 เดือน ผู้ป่วยชายควรมีการป้องกันหากมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 3 เดือน และหากวางแผนจะมีบุตรควรเว้นช่วงหรือคุมกำเนิดอย่างน้อย 6 เดือน หลังมีอาการแสดงของโรค
SHARE