
ตอบคำถาม อาการไข้เลือดออก เกิดมาจากอะไร ถ้าเป็นแล้วอันตรายไหม
ไข้เลือดออกได้กลายเป็นปัญหาสาธารณสุขในหลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากการแพร่ระบาดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี โดยจะเริ่มมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน และสูงสุดในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม หากในช่วงปลายปีจำนวนผู้ป่วยยังคงสูง อาจทำให้เกิดการระบาดต่อเนื่องในปีถัดไปได้ ดังนั้น สินแพทย์ เสรีรักษ์ จึงจัดทำบทความนี้ขึ้นมา เพื่อพาทุกคนไปทำความรู้จักกับโรคไข้เลือดออกให้มากขึ้น ตั้งแต่สาเหตุ และอาการไข้เลือดออก วิธีวินิจฉัย ไปจนถึงการป้องกัน จะช่วยให้คุณสามารถลดความเสี่ยงและปกป้องคนที่คุณรักจากโรคร้ายนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไข้เลือดออก เกิดจากอะไร
ไข้เลือดออกเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสเดงกี (Dengue Virus) ซึ่งมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 โดยมียุงลายตัวเมีย (Aedes aegypti) เป็นพาหะนำโรค โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้สูงอายุที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ยุงลายเหล่านี้มักอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีน้ำขัง เช่น อ่างน้ำ แจกัน หรือยางรถยนต์เก่า เมื่อยุงที่มีเชื้อกัดคน ไวรัสจะเข้าสู่กระแสเลือดและเริ่มทำให้เกิดอาการของโรคภายในไม่กี่วัน
อาการของโรคมีตั้งแต่ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไปจนถึงภาวะรุนแรง เช่น ภาวะเลือดออกภายในและภาวะช็อกที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต นอกจากนั้นยังมีกรณีที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสเดงกีครั้งที่ 2 และเป็นเชื้อไวรัสเดงกีต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก อาการของไข้เลือดออกจะรุนแรงขึ้น และอาจพัฒนาไปสู่การเป็นโรคไข้เลือดออกรุนแรง (Dengue hemorrhagic fever)
ไข้เลือดออก มีกี่ระยะ แต่ละระยะมีอาการอย่างไร
ไข้เลือดออกสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก ไม่รวมระยะฟักตัว แต่หากรวมระยะฟักตัวด้วยแล้ว จะมีทั้งหมด 4 ระยะ โดยแต่ละระยะมีลักษณะอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้
ระยะฟักตัว
ไข้เลือดออกระยะฟักตัว ระยะนี้เริ่มต้นทันทีหลังจากถูกยุงลายที่มีเชื้อกัด โดยไวรัสจะใช้เวลาฟักตัวในร่างกายประมาณ 4-10 วัน โดยทั่วไปผู้ป่วยยังไม่แสดงอาการใด ๆ หรือมีอาการไม่รุนแรงคล้ายไข้หวัดธรรมดา และร่างกายก็จะเริ่มมีการตอบสนองต่อเชื้อไวรัสที่เพิ่มจำนวนขึ้นภายในกระแสเลือด
ระยะไข้สูง
ไข้เลือดออกระยะไข้สูง เป็นช่วงที่ผู้ป่วยเริ่มแสดงอาการเด่นชัด โดยจะมีไข้สูงเฉียบพลัน 39-40 องศาเซลเซียส ติดต่อกัน 2-7 วัน อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ ปวดศีรษะ หน้าแดง ปวดรอบกระบอกตา คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเมื่อยตามตัวและกล้ามเนื้อ บางรายอาจมีอาการปวดข้อ หรือมีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย ทั้งนี้ อาการเหล่านี้มักไม่ตอบสนองต่อยาลดไข้ทั่วไป
ระยะวิกฤต
ไข้เลือดออกระยะวิกฤต เป็นระยะที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยมักเกิดขึ้นประมาณวันที่ 3-7 หลังจากระยะไข้สูง ในบางรายอุณหภูมิร่างกายของผู้ป่วยอาจลดลงอย่างรวดเร็ว แต่แทนที่จะเป็นสัญญาณของการฟื้นตัว กลับเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงต่อภาวะช็อกจากการรั่วไหลของพลาสมาในหลอดเลือด ทำให้ผู้ป่วยอาจเกิดความดันโลหิตต่ำ มือเท้าเย็น หายใจลำบาก อ่อนเพลียรุนแรง และอาจมีเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายเป็นสีดำ หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ระยะฟื้นตัว
หากผ่านระยะวิกฤตมาได้ ผู้ป่วยจะเข้าสู่ระยะฟื้นตัว ซึ่ง อาการไข้เลือดออก จะค่อย ๆ ลดลงตามลำดับ ระบบไหลเวียนโลหิตเริ่มกลับมาเป็นปกติ อาการไข้ลดลง ชีพจรและความดันโลหิตคงที่ ผู้ป่วยเริ่มรู้สึกอยากอาหาร และมีปัสสาวะเพิ่มขึ้น ในบางรายอาจพบว่ามีผื่นแดงเล็ก ๆ ที่ผิวหนัง โดยเฉพาะที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ซึ่งเป็นสัญญาณว่าร่างกายกำลังฟื้นตัวสมบูรณ์
ไข้เลือดออก วินิจฉัยได้อย่างไร
เนื่องจากอาการของไข้เลือดออกในระยะแรกอาจคล้ายกับโรคไข้หวัดทั่วไป การวินิจฉัยที่ถูกต้องจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม วิธีการตรวจวินิจฉัยไข้เลือดออกที่แพทย์ใช้มีดังนี้
ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) เป็นหนึ่งในวิธีพื้นฐานที่ช่วยบ่งชี้ภาวะไข้เลือดออก โดยแพทย์จะตรวจระดับเกล็ดเลือดและเม็ดเลือดขาว หากพบว่าระดับเกล็ดเลือดลดลงต่ำกว่าปกติ และจำนวนเม็ดเลือดขาวลดลง ก็อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อไวรัสเดงกี
ตรวจจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง
การตรวจจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง คือหนึ่งในการคัดกรองเบื้องต้น เรียกว่าการทดสอบทัวร์นิเก้ (Tourniquet Test) โดยใช้สายรัดแขนแล้วตรวจหาจุดเลือดออกเล็ก ๆ ใต้ผิวหนัง หากพบจุดเลือดออกจำนวนมาก อาจเป็นสัญญาณของภาวะเลือดออกผิดปกติซึ่งเป็นหนึ่งในอาการของไข้เลือดออก
การตรวจภูมิคุ้มกันจำเพาะต่อเชื้อไข้เลือดออก
การตรวจภูมิคุ้มกันจำเพาะต่อเชื้อไข้เลือดออก เป็นการตรวจหาแอนติบอดี IgM และ IgG ในกระแสเลือด เพื่อช่วยยืนยันว่าผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสเดงกีหรือไม่ วิธีนี้ใช้ในการตรวจหาโรคในระยะที่เริ่มมีอาการและสามารถบ่งชี้ได้ว่าผู้ป่วยเคยติดเชื้อมาก่อน
การตรวจหาภูมิคุ้มกันจำเพาะต่อเชื้อไข้เลือดออกเป็นวิธีที่ใช้ในการ วินิจฉัยโรคไข้เลือดออก และ ประเมินระดับภูมิคุ้มกัน ของบุคคลที่เคยติดเชื้อหรือได้รับวัคซีนมาก่อน การตรวจนี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
1. การตรวจหาแอนติบอดี (Antibody Testing)
การตรวจหาแอนติบอดีเป็นการตรวจหาภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเชื้อไวรัสเด็งกี่ มี 2 ประเภท ได้แก่
- IgM (Immunoglobulin M) antibody
- ตรวจพบได้ในระยะเฉียบพลัน (ประมาณ 3-5 วันหลังจากมีอาการ)
- บ่งบอกถึงการติดเชื้อไข้เลือดออกครั้งใหม่หรือการติดเชื้อในปัจจุบัน
- IgG (Immunoglobulin G) antibody
- ตรวจพบได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 ของการติดเชื้อ และอาจคงอยู่ได้นานหลายปี
- ใช้บ่งชี้ว่าผู้ป่วยเคยได้รับเชื้อไข้เลือดออกมาก่อนหรือเคยได้รับวัคซีน
วิธีการตรวจแอนติบอดี
- ELISA (Enzyme-Linked Immunosorbent Assay) – มีความแม่นยำสูงและใช้ในห้องปฏิบัติการ
- Rapid test (Immunochromatographic test) – เป็นชุดตรวจแบบรวดเร็ว ใช้งานสะดวก
2. การตรวจหาสารพันธุกรรมหรือแอนติเจนของเชื้อ (Direct Detection)
เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัสโดยตรง ซึ่งเหมาะสำหรับการวินิจฉัยโรคในระยะต้น
- NS1 Antigen Test
- ตรวจหาโปรตีน NS1 ของไวรัส ซึ่งสามารถพบได้ในช่วง 0-7 วันแรกของการติดเชื้อ
- มักใช้ร่วมกับการตรวจ IgM เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
- RT-PCR (Reverse Transcription Polymerase Chain Reaction)
- ใช้ตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสเด็งกี่ในระยะเฉียบพลัน (0-5 วันแรกของอาการ)
- สามารถระบุสายพันธุ์ของไวรัสเด็งกี่ได้
การเลือกใช้การตรวจ
- ในระยะ 0-5 วันแรกของอาการ → แนะนำให้ตรวจ NS1 antigen หรือ RT-PCR
- หลังวันที่ 5 เป็นต้นไป → แนะนำให้ตรวจ IgM และ IgG antibody
- หากต้องการทราบประวัติการติดเชื้อในอดีต → ตรวจ IgG
ความสำคัญของการตรวจ
- ช่วยวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกและแยกจากโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกัน
- ช่วยประเมินระดับภูมิคุ้มกันของประชากร
- ใช้เป็นข้อมูลในการให้วัคซีนไข้เลือดออกในอนาคต
การตรวจหาสารพันธุกรรมระดับโมเลกุล
การตรวจหาสารพันธุกรรมระดับโมเลกุล (RT-PCR) เป็นการตรวจที่มีความแม่นยำสูงและสามารถตรวจพบเชื้อไวรัสเดงกีได้ตั้งแต่ระยะแรกของโรค วิธีนี้ใช้ตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสในเลือด และเหมาะสำหรับการยืนยันการติดเชื้อ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรกของการเจ็บป่วย
ไข้เลือดออก รักษาหายไหม
ไข้เลือดออกสามารถรักษาหายได้หากได้รับการดูแลที่เหมาะสม ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสที่รักษาโรคนี้โดยตรง แต่การให้สารน้ำ หรือ น้ำเกลือ อย่างเพียงพอและการเฝ้าระวังอาการเป็นสิ่งสำคัญ ห้ามใช้ยาแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเลือดออก ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่ต้องระวังคือภาวะช็อกและเลือดออกผิดปกติ โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 3-7 ของการป่วย หากพบอาการรุนแรง เช่น ซึมลง หรืออาเจียนเป็นเลือด ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
วิธีป้องกันไข้เลือดออก
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง: ปิดฝาภาชนะเก็บน้ำ เทน้ำที่ขังอยู่รอบบ้าน และเปลี่ยนน้ำในแจกันทุกสัปดาห์
- ป้องกันยุงกัด: ใช้ยากันยุง นอนในมุ้ง หรือเปิดพัดลมไล่ยุง
- สวมใส่เสื้อผ้ามิดชิด: ลดโอกาสถูกยุงกัด โดยเฉพาะในช่วงกลางวัน
- ฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก: ลดโอกาสเกิดอาการรุนแรงหากได้รับเชื้อ
ฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ที่สินแพทย์เทพารักษ์
ไข้เลือดออกเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ โดยวัคซีนไข้เลือดออกเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลดความเสี่ยงของโรคนี้ วัคซีนจะช่วยลดอาการไข้เลือดออกรุนแรงและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน หากคุณต้องการป้องกันตนเองและคนที่คุณรักจากไข้เลือดออก โรงพยาบาลสินแพทย์เทพารักษ์พร้อมให้บริการฉีดวัคซีนโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สามารถติดต่อเพื่อรับคำปรึกษาเพิ่มเติมได้ที่โรงพยาบาล ดูรายละเอียดเพิ่มเติมหรือนัดหมายฉีดวัคซีนได้ที่ โรงพยาบาลสินแพทย์เทพารักษ์