เชื้อไวรัสตับอักเสบ ชนิดบี เป็นสาเหตุสำคัญของโรคตับอักเสบที่พบบ่อยในคนไทย ทำให้เกิดโรคตับแข็งและมะเร็งตับได้ ในคนไทยประมาณ 8-10% เป็นพาหะ หรือเป็นโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี
เชื้อไวรัสตับอักเสบ ชนิดบี เป็นสาเหตุสำคัญของโรคตับอักเสบที่พบบ่อยในคนไทย ทำให้เกิดโรคตับแข็งและมะเร็งตับได้ ในคนไทยประมาณ 8-10% เป็นพาหะ หรือเป็นโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี
โรคไวรัสตับอักเสบ บี ติดต่อกันทางใดได้บ้าง
- ทางเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน หรือไม่ได้สวมถุงยางอนามัย กับผู้ที่มีเชื้อโรค
- ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ที่มีเชื้อโรค
- ใช้เข็มสัก หรือสี หรือเข็มเจาะหูร่วมกัน
- ใช้แปรงสีฟัน มีดโกนหนวด หรือกรรไกรตัดเล็บร่วมกัน
- ติดต่อจากแม่สู่ลูกขณะคลอด
- การสัมผัสสารคัดหลั่ง เลือด น้ำเหลือง ทางแผลเปิดตามร่างกาย
** เชื้อนี้ไม่ติดต่อกันทางน้ำลาย แม้จะรับประทานอาหารร่วม ยกเว้นมีแผลในช่องปาก หรือไรฟัน ดังนั้นผู้ที่เป็นพาหะ หรือผู้ที่เป็นโรคนี้จึงสามารถใช้ชีวิตในสังคมร่วมกับผู้อื่นได้ตามปกติ
จะรู้ได้อย่างไรว่า เราติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี หรือไม่
สามารถทำได้โดยการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ ชนิดบี (HBsAg) เป็นวิธีการตรวจที่ทำได้ง่าย และค่าใช้จ่ายไม่สูง หากผลตรวจพบเชื้อไวรัส แพทย์จะแนะนำให้ตรวจเลือดนับปริมาณเชื้อไวรัสร่วมกับ ตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้องส่วนบน หรือบางรายอาจต้องตัดชิ้นเนื้อตับร่วมด้วย
โรคไวรัสตับอักเสบบี มีอาการอย่างไร และจะกลายเป็นโรคมะเร็งตับได้จริงหรือไม่
โรคตับอักเสบชนิดบี แบ่งออกเป็นระยะใหญ่ๆ ดังนี้
- ระยะตับอักเสบเฉียบพลัน เกิดจากการเพิ่งได้รับเชื้อไวรัส หรือเชื้อไวรัสเดิมที่มีอยู่ในร่างกายมีการต่อสู้กับภูมิคุ้มกัน จนเกิดทำลายเนื้อเยื่อตับ จะมีอาการไข้ อ่อนเพลีย ตัวเหลือง ตาเหลือง (ดีซ่าน) แน่นท้อง ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ผลตรวจเลือดจะพบค่าการทำการของตับสูงขึ้น ในระยะนี้บางรายสามารถหายได้เองภายใน 2-6 สัปดาห์ แต่บางรายอาจเกิดตับวายเฉียบพลันจนเสียชีวิต หรือบางรายก็เข้าสู่ระยะตับอักเสบเรื้อรัง
- ระยะพาหะนำโรคไวรัสตับอักเสบบี ระยะนี้มักไม่มีอาการผิดปกติ ดำเนินชีวิตได้ตามปกติ มักจะพบในช่วงวัยรุ่น จนถึงอายุ 40 ปี ผลตรวจเลือดดูค่าการทำงานของตับก็ปกติ แต่ตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี
- ระยะตับอักเสบเรื้อรัง เกิดขึ้นได้ทุกช่วงวัย บางรายอาจไม่มีอาการผิดปกติ แต่เมื่อตรวจเลือดจะพบค่าการทำงานของตับสูงขึ้น แสดงถึงว่าตับมีการอักเสบเรื้อรัง และสามารถทำให้ตับแข็งได้ ในระยะนี้จึงจำเป็นต้องรักษา
- ระยะตับแข็ง และมะเร็งตับ เป็นระยะสุดท้ายของโรคตับ เกิดจากการอักเสบของตับเรื้อรัง จะมีอาการ ตัวเหลือง ตาเหลือง ดีซ่าน ท้องมาน แขนขาบวม ตัวบวม
เมื่อทราบว่าเป็นโรคตับอักเสบชนิดบีแล้ว ต้องปฏิบัติตัวอย่างไร
ควรพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำ และวางแผนในการรักษา ปัจจุบันมียาในการรักษาหลากหลายชนิด ทั้งชนิดฉีดและรับประทาน แพทย์จะมีการประเมินความเหมาะสมของผู้ป่วยในแต่ละราย ผู้ป่วยจำเป็นต้องป้องกันไม่แพร่เชื้อและรับเชื้อใหม่ โดยมีข้อปฏิบัติดังนี้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนเพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง อาหารหมักดอง สุกๆ ดิบๆ อาหารที่มีความเสี่ยงของเชื้อรา เช่น ถั่วลิสงคั่วป่นที่เก็บไว้เป็นเวลานาน
- งดสุรา หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
- หลีกเลี่ยงการรับยาเองโดยไม่จำเป็น หากต้องการใช้ควรรับคำแนะนำจากแพทย์และเภสัชกร
- มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย สวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง
- งดบริจาคเลือด ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หลีกเลี่ยงการสักร่างกาย
- วางแผนครอบครัวก่อนการตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันการติดต่อจากแม่สู่ลูก
- แนะนำคนใกล้ชิดป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี
- ทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่กังวลจนเกินไป เพราะไวรัสตับอักเสบสามารถรักษาได้ และใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข
- ติดตามการรักษา พบแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยอย่างสม่ำเสมอ ทุก 3-6 เดือน
พบแพทย์เฉพาะทาง คลินิกอายุรกรรมทางเดินอาหารและตับ
ที่ โรงพยาบาลสินแพทย์ สาขาใกล้บ้านคุณ
(คลิก link เพื่อนัดพับแพทย์เฉพาะทาง)