เมื่อลูกพูดช้า
เด็กเริ่มเรียนรู้ภาษาและการสื่อสาร จากปฏิสัมพันธ์ในครอบครัว ร่วมกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวพัฒนาการทางภาษาเป็นทักษะที่จำเป็นในการสื่อสารและเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ของเด็กๆ
ซึ่งพัฒนาการทางภาษาแบ่งเป็น 2 ด้านหลักๆ คือ
-
การเข้าใจภาษา คือ สามารถฟังและเข้าใจ ทำตามคำสั่งได้ ชี้อวัยวะ ชี้ภาพตามคำบอกได้
-
การใช้ภาษา คือ ใช้คำพูด ภาษาท่าทาง เพื่อสื่อความต้องการและแก้ปัญหาได้
โดยส่วนใหญ่ เด็กจะพูดคำที่มีความหมายคำแรกได้เมื่ออายุ 1 ปี โดยออกเสียงคำง่ายๆได้ก่อน เช่น จ๋าจ้ะ หม่ำหม่ำ ปาป๊า หม่าม้า
และ คลังคำศัพท์จะค่อยๆเพิ่มมากขึ้น จนเมื่ออายุ 2 ปี เด็กจะพูดได้ประมาณ 50-200 คำ ร่วมกับพูด 2-3 คำติดกันได้ และพัฒนาต่อไปจนพูดสื่อสารเป็นประโยค เล่าเรื่องราวได้
สัญญาณที่บ่งว่าเด็กมีภาษาล่าช้า
อายุ 6 เดือน ไม่ตอบสนองต่อเสียง ไม่ส่งเสียงอ้อแอ้ ไม่หัวเราะ
อายุ 9 เดือน ไม่หันหาเสียงเรียกชื่อ ไม่ส่งเสียงโต้ตอบกับผู้เลี้ยงดู
อายุ 12 เดือน ไม่ชี้นิ้ว ไม่ใช้ท่าทางพยักหน้าหรือส่ายหัวเพื่อปฏิเสธ ไม่เรียก “พ่อ” “แม่”
อายุ 15 เดือน ไม่พูดคำที่มีความหมายเลย
อายุ 18 เดือน ไม่เข้าใจหรือไม่สามารถทำตามคำสั่งง่ายๆ ไม่พูดคำที่มีความหมายอย่างน้อย 3 คำ
อายุ 2 ปี พูดคำที่มีความหมายได้น้อยกว่า 20-50 คำ ไม่สามารถพูดวลี 2 คำต่อเนื่องกันได้
อายุ 3 ปี ไม่สามารถพูดเป็นประโยคที่สมบูรณ์ คนอื่นฟังที่เด็กพูดส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ
อายุ 4 ปี ไม่สามารถเล่าเรื่องสั้นๆให้คนอื่นเข้าใจได้
สาเหตุของการพูดช้า ที่พบได้บ่อยได้แก่
-
การได้ยินบกพร่อง เช่น หูหนวก หูตึง ทำให้เด็กไม่ได้ยินหรือได้ยินไม่ชัดเจนจึงไม่สามารถพูดได้ เด็กกลุ่มนี้อาจจะสังเกตได้ตั้งแต่วัยทารกที่มักไม่ค่อยตอบสนองต่อเสียง และเด็กมักจะมีทีท่าอยากสื่อสาร เช่น จ้องมองปาก ท่าทางของคนผู้เลี้ยงดู และใช้ภาษาท่าทางในการสื่อสารมาก
-
ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา เด็กมักจะมีปัญหาพัฒนาการล่าช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน ในหลายๆด้าน เช่น ด้านกล้ามเนื้อ ด้านความจำ การแก้ปัญหาช้า การเล่นที่ไม่สมวัย ร่วมกับพูดสื่อสารได้ช้า
-
กลุ่มอาการออทิซึม เด็กจะมีพัฒนาการทางภาษาล่าช้า เช่น ไม่เข้าใจ ไม่ทำตามคำสั่ง พูดช้าร่วมกับความบกพร่องของปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เช่น ไม่มองหน้าสบตา เรียกชื่อไม่หัน ไม่มีอารมณ์ร่วม หรือไม่มีความสนใจร่วมกับผู้เลี้ยงดู ร่วมกับมีพฤติกรรมซ้ำๆ ยึดติด
-
ภาวะพัฒนาการทางภาษาล่าช้า คือ เด็กมีพัฒนาการล่าช้าเฉพาะด้านภาษาด้านเดียวเท่านั้น โดยพัฒนาการด้านอื่นปกติ โดยแบ่งเป็น
4.1) พัฒนาการทั้งด้านความเข้าใจภาษาและการใช้ภาษาล่าช้า เด็กกลุ่มนี้มีความล่าช้าทั้งความเข้าใจภาษา การทำตามคำสั่ง ร่วมกับภาษาพูดล่าช้า เด็กในกลุ่มนี้ควรต้องได้รับการรักษาและติดตามอย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อเข้าสู่วัยเรียนพบว่าประมาณ 50% ของเด็กกลุ่มนี้มีปัญหาทักษะการเรียน เช่น การอ่าน การเขียน การสะกดคำ ตามมาได้
4.2) การพูดหรือการใช้ภาษาล่าช้า ที่เรียกกันว่า “เด็กปากหนัก” เด็กจะมีพัฒนาการด้านความเข้าใจภาษาสมวัยดี แต่ยังไม่เปล่งเสียงพูด เด็กอาจจะใช้ท่าทางช่วยเพื่อบอกความต้องการ เช่น ชี้ พยักหน้า ส่ายหัว เด็กกลุ่มนี้มีพยากรณ์โรคดีที่สุด สามารถพัฒนาได้จนทักษะภาษาเป็นปกติดี
-
สาเหตุจากการเลี้ยงดู การเลี้ยงที่ปล่อยให้เด็กอยู่คนเดียวหรืออยู่กับสื่อหน้าจอมากเกินไป เด็กไม่ได้รับการดูแล ขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้เลี้ยงดูอย่างเหมาะสม แม้ว่าจะไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรง แต่เป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้เด็กมีอาการที่รุนแรงมากขึ้น จึงไม่แนะนำให้เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ใดๆเลย
การดูแลเบื้องต้น
-
ให้เวลาเล่นและพูดคุยกับลูกมากขึ้น ลดเวลาการใช้สื่อ ทั้งการดูทีวี สื่ออิเล็กทรอนิกส์ลง
-
เพิ่มคลังคำศัพท์ให้ลูกผ่านกิจกรรมและการเล่น เช่น เล่านิทาน ดูรูปภาพ ฝึกชี้ภาพ บัตรคำ ร้องเพลง เล่นบทบาทสมมติ
-
ค่อยๆฝึกให้ลูกพูดบอกความต้องการง่ายๆ เช่น นม น้ำ หม่ำ เอา ไป มา ไม่
-
ให้โอกาสลูกได้สื่อสาร รอให้เด็กสื่อสารก่อน ตอบสนองทุกครั้งเมื่อลูกพูด ร่วมกับให้แรงเสริมทางบวก
ลูกพูดช้าจำเป็นต้องพบแพทย์หรือไม่
ควรพาลูกมาปรึกษากุมารแพทย์พัฒนาการเด็กเพื่อประเมินพัฒนาการ หาสาเหตุ ให้ได้รับการวินิจฉัยและได้รับคำแนะนำแนวทางการดูแลรักษาที่ถูกต้อง
พบแพทย์เฉพาะทางสินแพทย์ สาขาใกล้บ้านคุณ #คลิ๊กเลย