เบาหวาน…อันตรายอย่างไร ถ้าไม่รักษา ?!??

9 มิ.ย. 2565 | เขียนโดย ศูนย์โรคเบาหวานและต่อมไร้ท่อ ที่ โรงพยาบาลสินแพทย์

จะพาไปดูว่าเบาหวานอาการเป็นอย่างไร เพื่อหมั่นสำรวจสุขภาพของตัวเองเสมอ เพราะถ้าหากเป็นแล้วไม่ได้ควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้



เบาหวาน…อันตรายอย่างไร ถ้าไม่รักษา ???

สารบัญ

อาการของโรคเบาหวาน

โรคเบาหวาน อาการอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และในบางรายอาจไม่มีอาการแสดงเลยก็ได้ ซึ่งอาการที่พบเจอบ่อย ๆ ได้แก่

  • ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
  • กระหายน้ำมาก ดื่มน้ำมากผิดปกติ
  • หิวบ่อย กินจุบจิบตลอดเวลา
  • น้ำหนักลด โดยไม่ทราบสาเหตุ
  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง
  • ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด
  • แผลหายช้า หรือติดเชื้อง่าย
  • ชาตามปลายมือปลายเท้า

 

อาการของเบาหวานชนิดที่ 1 vs. เบาหวานชนิดที่ 2

โรคเบาหวานมี 2 ชนิดหลักๆ คือ เบาหวานชนิดที่ 1 และเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งมีอาการแตกต่างกัน ดังนี้

เบาหวานชนิดที่ 1 : มักจะเกิดขึ้นกับเด็กหรือวัยรุ่น เบาหวาน อาการจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ด้วยตัวเอง จำเป็นต้องฉีดอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
เบาหวานชนิดที่ 2 : มักเกิดขึ้นในผู้ใหญ่โดยเฉพาะ อาจไม่มีอาการแสดงในระยะแรก ร่างกายยังคงสามารถผลิตอินซูลินได้ แต่ไม่เพียงพอ หรืออินซูลินทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต การรับประทานยา หรือการฉีดอินซูลิน

 

1.ภาวะแทรกซ้อนชนิดเฉียบพลัน

  • ภาวะโคม่าจากน้ำตาลในเลือดสูง อาจทำให้มีภาวะเลือดเป็นกรด เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ จนถึงขั้นหมดสติได้
  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเฉียบพลัน พบในผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมอาหารและปรับระดับยาไม่เหมาะสมกับสภาวะร่างกายในแต่ละช่วงเวลา อาจมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจนเกิดอาการหน้ามืด ใจสั่น หมดสติได้

2.ภาวะแทรกซ้อนชนิดเรื้อรัง

ถ้าไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นระยะเวลานานๆ ผู้ป่วยเบาหวานอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เหล่านี้ตามมา

  • ภาวะแทรกซ้อนทางตา : จอประสาทตาเสื่อม ต้อกระจก ต้อหิน อาจรุนแรงจนถึงตาบอดในที่สุด
  • ภาวะแทรกซ้อนทางไต : มีโปรตีนรั่วในปัสสาวะ เกิดภาวะไตวายเรื้อรัง
  • ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท : โรคหลอดเลือดสมองตีบตันทำให้เกิดอัมพฤกษ์อัมพาต เส้นประสาทส่วนปลายเสื่อมทำให้เกิดอาการชาปลายมือปลายเท้า
  • โรคหัวใจ : หลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด นำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว
  • หลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบตัน : ทำให้เป็นแผลเรื้อรัง แผลหายยาก

 

จะเห็นได้ว่ามีโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากเบาหวานมากมายที่ส่งผลต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย บางภาวะอาจอันตรายถึงเสียชีวิดหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ดังนั้นการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ป่วยเบาหวานที่สนใจรับการดูแลรักษาเบาหวานแบบครบวงจร สามารถมารับการปรึกษาที่ศูนย์โรคเบาหวานและต่อมไร้ท่อโรงพยาบาลสินแพทย์ ซึ่งมีความพร้อมในการดูแลผู้ป่วย ทั้งแพทย์เฉพาะทางผู้เชี่ยวชาญ เทคโนโลยีที่ช่วยติดตามระดับน้ำตาลในเลือด และวิธีการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้การดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวานได้ผลดีที่สุด

 

เบาหวานคืออะไร? เข้าใจโรคนี้ให้มากขึ้น

โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากตับอ่อน มีหน้าที่นำน้ำตาลจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ของร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงาน เมื่ออินซูลินทำงานผิดปกติ น้ำตาลจึงสะสมอยู่ในกระแสเลือด ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ดังนั้นการเข้าใจโรคเบาหวานเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและควบคุมโรค เนื่องจากโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม การเข้าใจโรคเบาหวานจะช่วยให้สามารถสังเกตอาการของโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรค สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ สามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

 

อาการเบาหวาน สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

สัญญาณเตือนเด่น ๆ ที่ผู้ป่วยเบาหวานจะต้องเผชิญ มีดังนี้
– ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืน
– กระหายน้ำมาก ดื่มน้ำเยอะกว่าปกติ
– หิวบ่อย หิวมากผิดปกติ
– อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
– มองเห็นไม่ชัด
– บาดแผลหายช้า
– ชาตามปลายมือปลายเท้า
– น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

 

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวาน

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวาน อาจจะเคยเห็นกันผ่าน ๆ มาบ้างแล้วว่ามีสาเหตุไหนบ้าง ซึ่งในส่วนนี้เราจะสรุปให้ฟังแบบสั้น ๆ อีกครั้ง- กรรมพันธุ์ : หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นเบาหวาน จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น
– ภาวะอ้วน : โดยเฉพาะอ้วนลงพุง
– ขาดการออกกำลังกาย : การไม่ออกกำลังกายทำให้ร่างกายใช้อินซูลินได้ไม่ดี
– อายุ : ยิ่งอายุมากขึ้น ความเสี่ยงยิ่งสูง
– โรคประจำตัว : เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
– พฤติกรรมการรับประทานอาหาร : การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง

 

วิธีตรวจเบาหวานและค่ามาตรฐานของระดับน้ำตาลในเลือด

– การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (Fasting Blood Sugar: FBS) : ค่าปกติคือ 70-99 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หากมากกว่า 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ถือว่าเป็นเบาหวาน
– การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร 2 ชั่วโมง (2-hour Postprandial Blood Sugar: 2-hr PPBS) : ค่าปกติคือน้อยกว่า 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หากมากกว่า 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ถือว่าเป็นเบาหวาน
– การตรวจระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) : ค่าปกติคือน้อยกว่า 5.7% หากมากกว่า 6.5% ถือว่าเป็นเบาหวาน

 

วิธีป้องกันโรคเบาหวาน ปรับพฤติกรรมก่อนสายเกินไป

วิธีป้องกันโรคเบาหวาน สามารถทำได้ ดังนี้
– ควบคุมน้ำหนัก รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
– ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
– รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และลดอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง
– งดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์
– ตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อตรวจหาความเสี่ยงและรับคำแนะนำจากแพทย์

 

โรคแทรกซ้อนจากเบาหวานที่ควรรู้

โรคแทรกซ้อนจากเบาหวานเป็นผลมาจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นเวลานาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลอดเลือดและเส้นประสาททั่วร่างกาย ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ดังนี้
– เบาหวานเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ
– โระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงทำให้ไตทำงานหนักขึ้น และอาจทำให้ไตเสื่อมสภาพในที่สุด
– โรคจอประสาทตาเสื่อมจากเบาหวานเป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียการมองเห็นในผู้ป่วยเบาหวาน
– โรคเบาหวานทำให้เกิดโรคเส้นประสาท เช่น ชาตามปลายมือปลายเท้า ปวดแสบปวดร้อน และสูญเสียความรู้สึก
– เบาหวานทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อได้ง่ายขึ้น เช่น การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ การติดเชื้อที่ผิวหนัง และการติดเชื้อที่เท้า

 

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์? เช็กอาการเสี่ยงของโรคเบาหวาน

เมื่อสงสัยว่าเป็นโรคเบาหวาน ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอาการดังต่อไปนี้
– ในเวลากลางคืนมีอาการปัสสาวะบ่อย
– ดื่มน้ำมากกว่าปกติ หิวบ่อย หิวมากผิดปกติ
– อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
– มองเห็นไม่ชัด ตาพร่ามัว
– บาดแผลเป็นแล้วหายช้ากว่าปกติ
– มีอาการชาตามปลายมือปลายเท้า
นอกจากนี้ หากคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อไปนี้ ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเบาหวานเช่นกัน
– มีญาติสายตรงเป็นเบาหวาน (พ่อ แม่ พี่ น้อง)
– มีภาวะอ้วนหรือน้ำหนักเกิน โดยเฉพาะอ้วนลงพุง
– มีภาวะความดันโลหิตสูง หรือกำลังรักษาความดันโลหิตสูง
– มีภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ
– มีประวัติเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือคลอดบุตรที่มีน้ำหนักแรกคลอดมากกว่า 4 กิโลกรัม
– มีประวัติโรคหัวใจและหลอดเลือด
– มีอายุ 40 ปีขึ้นไป
– มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น ขาดการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเบาหวาน (FAQ)

เบาหวานรักษาหายขาดได้หรือไม่?

โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์

 

เบาหวานมีผลต่อหัวใจและหลอดเลือดอย่างไร?

โรคเบาหวานส่งผลกระทบต่อหัวใจและหลอดเลือดอย่างมาก โดยเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดหลายชนิด ดังนี้
– โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Disease: CAD) : หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบแคบ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจได้รับเลือดและออกซิเจนไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก (Angina) หรือกล้ามเนื้อหัวใจตาย (Heart Attack)
– โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) : หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองตีบแคบหรืออุดตัน ทำให้สมองขาดเลือดและออกซิเจน
อาจทำให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิต
– โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (Peripheral Artery Disease: PAD) : หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงขาและเท้าตีบแคบ ทำให้เกิดอาการปวดขาขณะเดิน และแผลหายยาก ในกรณีที่รุนแรง อาจต้องตัดขาหรือเท้า
– ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure) : กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอลง ไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อาจทำให้เกิดอาการเหนื่อยง่าย หายใจถี่ และบวมตามขา

 

ควรตรวจเบาหวานบ่อยแค่ไหน?

ความถี่ในการตรวจเบาหวานขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุ ปัจจัยเสี่ยง และสุขภาพโดยรวมของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปมีคำแนะนำ ดังนี้
– อายุ 45 ปีขึ้นไป : ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอย่างน้อยทุก 3 ปี
– อายุน้อยกว่า 45 ปี : หากมีปัจจัยเสี่ยง เช่น ภาวะอ้วน น้ำหนักเกิน หรือมีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดความถี่ในการตรวจที่เหมาะสม

 

การวินิจฉัยโรคเบาหวาน

การวินิจฉัยโรคเบาหวานทำได้โดยการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งมี 4 วิธีดังนี้

  • การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (Fasting Plasma Glucose: FPG) : เป็นการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังจากอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
  • การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดแบบสุ่ม (Random Plasma Glucose: RPG) : เป็นการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดโดยไม่ต้องอดอาหาร
  • การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มสารละลายกลูโคส (Oral Glucose Tolerance Test: OGTT) : เป็นการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังจากดื่มสารละลายกลูโคส 2 ชั่วโมง
  • การตรวจระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) : เป็นการตรวจระดับน้ำตาลเฉลี่ยในเลือดในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา

 

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวาน

สาเหตุของโรคเบาหวานยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่เพิ่มโอกาสในการเกิดโรค ได้แก่

  • จากพันธุกรรม หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นเบาหวาน จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น
  • น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน
  • ขาดการออกกำลังกาย พักผ่อนไม่เพียงพอ
  • ผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงสูงขึ้น
  • มีประวัติป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง
  • มีระดับไขมันในเลือดสูงผิดปกติ
  • ประวัติเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์

 

วิธีดูแลตนเองเมื่อเป็นเบาหวาน

เมื่อได้รับวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานแล้ว สามารถดูแลตัวเองได้ ดังนี้

  • ควบคุมอาหาร เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง
  • ออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • รับประทานยา หรือฉีดอินซูลินตามคำแนะนำของแพทย์
  • ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ
  • ดูแลสุขภาพเท้า เพื่อป้องกันแผลและภาวะแทรกซ้อน
  • พบแพทย์ ตามนัดหมาย เพื่อติดตามอาการและปรับแผนการรักษา

 

วิธีป้องกันโรคเบาหวาน

โรคเบาหวาน อาการถ้าเป็นแล้วจะทำให้ประสิทธิภาพในการใช้ชีวิตลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็สามารถป้องกันได้เพียงแค่ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอล์ และตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี

 

เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์?

ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาโรคเบาหวาน อาการถ้าเป็นดังต่อไปนี้

  • ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำมาก หิวบ่อย น้ำหนักลด อ่อนเพลีย
  • มีปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวาน เช่น มีประวัติคนในครอบครัวเป็นเบาหวาน น้ำหนักเกิน หรือไม่ออกกำลังกาย
  • หากมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ที่สงสัยว่าจะเป็นอาการของโรคเบาหวาน

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการของโรคเบาหวาน (FAQ)

อาการเบาหวานในเด็ก vs. ผู้ใหญ่ ต่างกันอย่างไร?

ส่วนใหญ่แล้วเมื่อเด็กได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน มักจะเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 และเป็นรุนแรงกว่าผู้ใหญ่ ต้องอาศัยการใช้อินซูลินเป็นตัวช่วย เพราะร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้ ในขณะที่ผู้ใหญ่เพียงแค่ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตในเบื้องต้น หากเป็นในระดับที่รุนแรง และไม่สามารถควบคุมน้ำตาลได้ จึงค่อยใช้อินซูลินเป็นตัวช่วย

 

เบาหวานสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?

เบาหวานชนิดที่ 1: ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยการฉีดอินซูลินและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต

เบาหวานชนิดที่ 2: ในบางราย สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีจนไม่ต้องใช้ยา หรือสามารถหยุดยาได้ แต่ต้องควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม ไม่ถือว่าหายขาด เนื่องจากยังคงมีความเสี่ยงที่ระดับน้ำตาลในเลือดจะกลับมาสูงได้อีก

 

เบาหวานไม่มีอาการแสดงได้หรือไม่?

เบาหวานบางชนิดก็ไม่ได้แสดงอาการ อย่างชนิดที่ 2 เบาหวานอาการไม่ชัดเจน หรือแทบจะไม่แสดงเลย ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวาน

 

ปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการศูนย์โรคเบาหวานและต่อมไร้ท่อ ที่ โรงพยาบาลสินแพทย์

เขียนโดย : ศูนย์โรคเบาหวานและต่อมไร้ท่อ โรงพยาบาลสินแพทย์

 

โรงพยาบาลสินแพทย์ รามอินทรา 

โรงพยาบาลเด็กสินแพทย์ รามอินทรา

โรงพยาบาลสินแพทย์ เสรีรักษ์

โรงพยาบาลสินแพทย์ ลำลูกกา

โรงพยาบาลสินแพทย์ เทพารักษ์  

โรงพยาบาลสินแพทย์ ศรีนครินทร์ 

โรงพยาบาลสินแพทย์ กาญจนบุรี

 

ช่องทาง :
SHARE