มะเร็งตับ เป็นสาเหตุการตายอันดับ 3 ในกลุ่มโรคมะเร็งทั่วโลก ในระยะเริ่มต้นมักไม่มีอาการผิดปกติแต่จะพบมีอาการเมื่อก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่จนกดเบียด กินพื้นที่ตับมากแล้ว จนตับทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดอาการ ปวดท้องด้านขวาบน ตัวเหลือง ตาเหลือง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ท้องบวม คลื่นไส้ / อาเจียน
มะเร็งตับ เป็นสาเหตุการตายอันดับ 3 ในกลุ่มโรคมะเร็งทั่วโลก ในระยะเริ่มต้นมักไม่มีอาการผิดปกติแต่จะพบมีอาการเมื่อก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่จนกดเบียด กินพื้นที่ตับมากแล้ว จนตับทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดอาการ ปวดท้องด้านขวาบน ตัวเหลือง ตาเหลือง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ท้องบวม คลื่นไส้ / อาเจียน
มะเร็งตับ มีปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรค หรือสาเหตุหลักๆ ดังนี้
- ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี, ซี
- คนที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบชนิด บี มีโอกาสเกิดมะเร็งประมาณ 0.5 %
- คนที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบชนิด ซี และมีโรคตับแข็ง มีโอกาสเกิดมะเร็ง 1.5 – 4.0 %
- ดื่มสุรา หรือ เครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์
- โรคทางเมตาบอลิกบางชนิด เช่น ภาวะเหล็กเกิน
- มีไขมันสะสมในตับมาก จนทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ (ผู้ป่วยในกลุ่มนี้ อาจมีภาวะเบาหวาน และน้ำหนักตัวมากร่วมด้วย)
- ได้รับหรือสัมผัสกับสารบางอย่าง ซึ่งเป็นพิษต่อตับได้แก่ สารอัลฟ่าท็อกซิน (Alfatoxin) ซึ่งพบมากในธัญพืชอบแห้งที่เก่าเก็บ หรือสัมผัสเคมีบางประเภทเป็นประจำ เช่น คาร์บอนเตตราคลอไรด์,โพลี่ไวนิลคลอไรด์
จะตรวจได้อย่างไรว่าเป็นมะเร็งตับหรือไม่
การตรวจค้นหาโรคมะเร็งตับ เบื้องต้นสามารถตรวจได้จากการตรวจเลือด หาสารบ่งชี้มะเร็งตับที่เรียกว่า AFP( Alfa Feto Protein) ซึ่งจะมีความไวในการตรวจพบประมาณ 40-64% เท่านั้น เนื่องจากคนที่เป็นโรคมะเร็งตับบางคนอาจไม่มีการผลิตสารตัวนี้ หรือสารตัวนี้อาจพบมีค่าสูงได้จากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่มะเร็งตับ แต่ถ้าตรวจหาสารตัวนี้แล้วพบว่ามีค่าสูงกว่า 400 ug/ml แสดงว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นมะเร็งถึง 75 – 90 % โดยการตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้องส่วนบน ตรวจเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) ตรวจคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า(MRI) หรือตัดชิ้นเนื้อตับส่งตรวจ
พบแพทย์เฉพาะทาง คลินิกอายุรกรรมทางเดินอาหารและตับ
ที่ โรงพยาบาลสินแพทย์ สาขาใกล้บ้านคุณ
(คลิก link เพื่อนัดพับแพทย์เฉพาะทาง)