
สาเหตุโรคไต…ที่ไม่ได้มาจากเค็ม
“กินเค็มระวังเป็นโรคไตนะ” ประโยคนี้หลายคนมักใช้เตือนคนที่ชอบรับประทานอาหารรสเค็ม แต่โรคไตไม่ได้เข้าโจมตีแต่ผู้ที่ทานรสเค็มเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะโรคนี้สามารถเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้ ที่มาจากการใช้ชีวิตประจำวันของเราเองซึ่งส่งผลให้เราเป็นโรคร้ายนี้ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราจะพาไปดูสาเหตุที่แท้จริงว่าโรคไตเกิดจากอะไรได้บ้าง มาทำความรู้จักโรคนี้กันให้มากขึ้นดีกว่า
รู้จักโรคไต
ไตมีหน้าที่กำจัดของเสีย ควบคุมความเป็นกรด-ด่างในกระแสเลือด ควบคุมความสมดุลของเกลือแร่ และควบคุมปริมาณน้ำในร่างกายอีกด้วย ดังนั้นเมื่อไตทำงานผิดปกติ หรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จะทำให้เกิดภาวะเลือดจางและขาดวิตามินได้ โดยโรคร้ายนี้มีอยู่หลายชนิด และที่พบได้บ่อย ได้แก่ กรวยไตอักเสบ ไตอักเสบ นิ่วในไต ไตเรื้อรัง และไตวาย
สาเหตุโรคไต…ที่ไม่ได้มาจากเค็ม
-
การทานอาหารรสจัด
นอกจากอาหารเค็มจัดแล้ว การทานอาหารรสหวานจัดก็ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งเป็นสาเหตุให้ไตทำงานหนักได้เหมือนกัน
-
ดื่มน้ำน้อย หรือมากเกินไป
การดื่มน้ำน้อยเป็นสาเหตุของหลายๆ โรคเช่นกัน รวมไปถึงโรคไตด้วย เพราะไตฟอกของเสียในร่างกาย และต้องใช้น้ำเป็นตัวพาไปสู่การกรองของไตจนกลายเป็นปัสสาวะ หากดื่มน้ำมากเกินไป ไตก็จะทำงานหนักเกินไป แต่หากดื่มน้ำน้อยมากเกินไป (ซึ่งมีโอกาสมากกว่า) ก็จะทำให้ปัสสาวะมีสีเข้ม ซึ่งไม่ดีต่อไต และกระเพาะปัสสาวะด้วย
-
ขาดการออกกำลังกาย
การไม่ออกกำลังกายนำมาซึ่งโรคเรื้อรังต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน โรคหัวใจ หรือดันโลหิตสูง ซึ่งส่งผลให้ไตทำงานหนัก จนเกิดปัญหาไตเสื่อมเร็วได้
-
ทำงานหนักเกินไป
เชื่อหรือไม่ว่าการทำงานหนักก็เป็นสาเหตุของโรคไตด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อร่างกายขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ อวัยวะภายในร่างกายก็จะไม่ได้รับการฟื้นฟู และซ่อมแซมตัวเองอย่างเต็มที่ด้วยเช่นเดียวกัน เมื่ออวัยวะที่คอยฟอกของเสียในร่างกายอย่างไตไม่ได้หยุดทำงาน ก็อาจทำให้ไตเสื่อมสภาพลงได้ง่าย
-
ทานอาหารสำเร็จรูป
แม้ว่าคุณอาจจะบอกว่าไม่ใช่คนทานเค็ม แต่หากคุณใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ข้าวกล่องในร้านสะดวกซื้อ อาหารกระป๋องต่างๆ หรือแม้กระทั่งน้ำอัดลม โซดา และเครื่องดื่มบางประเภท คุณจะได้รับโซเดียมเข้าไปในร่างกายในปริมาณสูงโดยที่คุณไม่รู้ตัว ดังนั้นทานให้น้อยลงหน่อยนะ
- รับประทานยากลุ่ม NSAIDs
นอกจากปัจจัยด้านพฤติกรรมการกินอาหารที่เราทราบกันดี ยังต้องระวังในเรื่องการทานยา โดยเฉพาะในกลุ่มยาแก้ปวดกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) ที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงไตลดลง และส่งผลให้ไตทำงานได้แย่ลงด้วย แต่สิ่งที่เป็นสาเหตุหลักของความเสี่ยงโรคไตจริงๆ ประมาณ 70% คือกลุ่มโรคประจำตัว อย่างเบาหวานและความดัน หรือแม้โรคไขมันและโรคอ้วน ก็นับเป็นความเสี่ยงเช่นกัน
ควรรีบพบแพทย์อายุรแพทย์โรคไต เมื่อมีอาการ
- ขาบวม ผิดปกติ
- ปัสสาวะผิดปกติ ติดขัด มีสีขุ่น มีเลือดปนออกมา
- ปวดสีข้างร้าวไปหลัง หรือปวดร้าวมาถึงขาหนีบ
- มีความดันสูง ต้องรับประทานยาหลายชนิด
- ภาวะโลหิตจาง อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
คำแนะนำการรักษาสุขภาพให้ปลอดภัยจากโรคไต
- ตรวจสุขภาพ คัดกรองโรคไตเป็นประจำทุกปี เมื่อมีอายุ 60 ปีขึ้นไป รวมถึงคนไข้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละประมาณ 30-40 นาที
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ วันละประมาณ 2-3 ลิตร
- งดการสูบบุหรี่ งดการดื่มแอลกอฮอล์
- พยายามอย่ากลั้นปัสสาวะ เพราะอาจนำไปสู่การติดเชื้อเรื้อรังได้
- ไม่ควรรับประทานยาที่มีพิษต่อไต หรืออาหารเสริม และยาสมุนไพรที่ไม่ได้มาตรฐาน“ไต” เป็นอวัยวะที่ต้องทำงานตลอดเวลาโดยไม่มีวันหยุด เราจึงควรใส่ใจดูแลสุขภาพไตด้วยการลดเลี่ยงพฤติกรรมที่เพิ่มความเสี่ยง พร้อมตรวจสุขภาพไตเพื่อเช็กการทำงานว่ายังปกติอยู่หรือไม่ เพราะหากปล่อยปละละเลยจนไตเสื่อม… ก็อาจสายเกินกว่าจะกลับมาฟื้นฟูได้ทัน!!
โรคไตคืออะไร?
โรคไต คือ โรคที่ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง ซึ่งส่งผลโดยตรงในการรักษาสมดุลของเหลวในร่างกาย การควบคุมแร่ธาตุ ระดับน้ำตาล ระดับฮอร์โมน และการกำจัดของเสียต่าง ๆ ออกจากร่างกาย และถ้าถามว่าโรคไตเกิดจากอะไร จริง ๆ แล้วโรคนี้มีสาเหตุมาจากโรคความดันสูง เบาหวาน โรคอ้วน โรค SLE รวมไปถึงสภาวะอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อไต เช่น นิ่วในไต ไตอักเสบ และภาวะติดเชื้อของร่างกาย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคไต (FAQ)
โรคไตกับโรคไตวายเหมือนกันหรือไม่?
โรคไตกับโรคไตวาย ไม่เหมือนกัน เพราะสำหรับโรคไต ถือเป็นคำกว้าง ๆ สามารถเป็นได้ทั้งโรคไตเรื้อรัง โรคนิ่วในไต หรือโรคไตอักเสบ ส่วนโรคไตวายนั้น เป็นภาวะที่ไตสูญเสียการทำงานอย่างรุนแรง ทำให้ไม่สามารถกำจัดของเสียและรักษาสมดุลของน้ำเกลือแร่ในร่างกายได้
โรคไตวายมี 2 ประเภท คือ ไตวายเฉียบพลัน และไตวายเรื้อรัง ซึ่งไตวายเฉียบพลันจะสามารถรักษาให้หายได้ หากรับการรักษาทัน ส่วนไตวายเรื้อรัง อาการจะมาอย่างช้า ๆ ไม่มีอาการในระยะแรก ไม่สามารถรรักษาให้หายขาด แต่สามารถควบคุมอาการและชะลอความเสื่อมของไตได้
การฟอกเลือดคืออะไร? จำเป็นต้องฟอกเลือดเมื่อไหร่?
การฟอกเลือด คือ กระบวนการที่ใช้เครื่องไตเทียมกรองของเสียและน้ำส่วนเกินออกจากเลือด ทำหน้าที่แทนไตที่ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ โดยจะเริ่มใช้วิธีนี้ก็ต่อเมื่อ
- ผู้ป่วยมีภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ซึ่งไตไม่สามารถทำงานได้เลย หรือทำงานได้น้อยมากจนไม่สามารถรักษาสมดุลของร่างกายได้
- ผู้ป่วยมีอาการของภาวะไตวาย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย หายใจลำบาก บวม หรือมีระดับของเสียในเลือดสูง
ผู้ป่วยโรคไตสามารถดื่มกาแฟหรือแอลกอฮอล์ได้หรือไม่?
ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟและแอลกอฮอล์ เพราะสารคาเฟอีน จะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และส่งผลเสียต่อไต และแอลกอฮอล์ทำให้ตับทำงานหนักขึ้น และส่งผลไปยังไตเช่นเดียวกัน นอกจากนี้แอลกอฮอล์อาจจะมีปฏิกิริยากับยาบางตัวที่ผู้ป่วยรับประทาน