ต้อกระจกอาการเป็นไง? ภัยถึงผู้สูงวัยที่ต้องรักษา

3 พ.ค. 2565 | เขียนโดย แผนก TRUE C สถาบันจอตาและม่านตาอักเสบ โรงพยาบาลสินแพทย์ ศรีนครินทร์

“โรคต้อกระจก” เป็นโรคเกี่ยวกับดวงตาที่หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยิน หรือรู้จักกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เพราะว่าโรคต้อกระจกนั้นมักพบในผู้สูงอายุมากกว่าผู้ที่มีอายุน้อย

 

ซึ่งโรคนี้เกิดจากการเสื่อมสภาพของเลนส์ตาหรือแก้วตา

 

และต้อกระจกนั้นถือว่าเป็นอันตรายทั้งในผู้สูงอายุและวัยอื่น ๆ ที่ควรกันไว้ดีกว่าแก้ ดังนั้น บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับโรคต้อกระจก สาเหตุการเกิด รวมถึงอาการของต้อกระจกให้มากขึ้น เพื่อเตรียมตัว และป้องกันภัยร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่ทันตั้งตัว

 

ตาเป็นต้อกระจก รักษา

ต้อกระจก คืออะไร?

“ต้อกระจก” หรือ Cataract คือ ภาวะที่เลนส์ภายในลูกตาขุ่น ส่งผลให้เกิดอาการตามัว และมีการมองเห็นไม่ปกติ เช่น มองเห็นภาพเบลอ สีเพี้ยน หรือคล้ายกับหมอกบังตาตลอดเวลา โดยต้อกระจกนั้นมักพบในผู้ที่มีอายุ 40-50 ปีขึ้นไป อาจเกิดได้กับตาทั้ง 2 ข้าง หรือข้างเดียวก็ได้

 

ชนิดของต้อกระจก

ชนิดของต้อกระจก

ชนิดของต้อกระจกนั้นสามารถใช้เกณฑ์ในการแบ่งได้หลากหลาย แต่ส่วนใหญ่มักจะใช้เกณฑ์ในการแบ่งชนิดของต้อกระจกด้วยช่วงอายุ ดังนี้

 

ต้อกระจกโดยกำเนิด (Congenital Cataract)

ต้อกระจกโดยกำเนิด (Congenital Cataract) คือ ชนิดของต้อกระจกที่เกิดจากความผิดปกติของพันธุกรรม หรือความผิดปกติขณะตั้งครรภ์ เช่น คุณแม่ได้รับรังสีขณะตั้งครรภ์ คุณแม่รับประทานยาบางชนิดขณะตั้งครรภ์ หรือคุณแม่มีภาวะขาดสารอาหารขณะตั้งครรภ์ เป็นต้น สามารถพบได้ในทารกแรกเกิด โดยในบางรายจะมีแก้วตาขุ่นเล็กน้อย ไม่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น แต่ในบางรายอาจมีแก้วตาขุ่นมากจนส่งผลกระทบต่อการมองเห็นและทำให้เกิดภาวะตาขี้เกียจได้

 

ต้อกระจกในวัยเด็ก และวัยรุ่น (Juvenile Cataract)

ต้อกระจกในวัยเด็ก และวัยรุ่น (Juvenile Cataract) คือ ชนิดของต้อกระจกที่พบได้ในทารกจนถึงวัยผู้ใหญ่ โดยอาการ และสาเหตุของต้อกระจกในวัยเด็ก และวัยรุ่นนั้นเกิดจาก 

 

  1. โรคที่เกิดจากความผิดปกติในพันธุกรรม (Genetic Disorders) 
  2. โรคพันธุกรรมเมตาบอลิค (Metabolic Disorders) 
  3. อุบัติเหตุทางตา (Trauma) 
  4. ภาวะม่านตาอักเสบ  (Uveitis)

 

ต้อกระจกในวัยชรา (Senile Cataract)

ต้อกระจกในวัยชรา (Senile Cataract) คือ ชนิดของต้อกระจกที่สามารถพบได้ในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเสื่อมสภาพของแก้วตาตามช่วงวัย และมักจะมีแก้วตาขุ่นที่ลูกตาทั้ง 2 ข้าง

 

สาเหตุการเกิดต้อกระจก

สาเหตุการเกิดต้อกระจก

ถึงแม้ว่าโรคต้อกระจกนั้นมักจะพบในผู้สูงอายุ เพราะเกิดจากการเสื่อมสภาพของแก้วตาตามช่วงวัย แต่ว่าต้อกระจกนั้นก็สามารถเกิดได้จากสาเหตุอื่น ๆ ได้เช่นกัน โดยสาเหตุของการเกิดต้อกระจก มีดังนี้ 

 

แสง UV

แสง UV หรือรังสีอัลตราไวโอเลต เป็นสาเหตุของการเกิดต้อกระจกที่หลาย ๆ คนอาจจะไม่รู้ และมองข้ามไป โดยแสง UV นั้นแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ UVA และ UVB ถ้าหากแก้วตาได้รับ UVA ในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดต้อกระจกได้ และถ้าหากกระจกตา หรือเยื่อบุตาได้รับ UVB ในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดต้อกระจก ต้อเนื้อ หรือต้อลมได้เช่นกัน

 

สูบบุหรี่ หรือ ยาสูบ

การสูบบุหรี่ หรือสูบยาสูบ เป็นสาเหตุของการเกิดต้อกระจก โดยเกิดจากสารพิษในควันบุหรี่ที่เข้าร่างกายทางเส้นเลือดที่มาเลี้ยงลูกตา ดังนั้น การรับสารพิษจากควันบุหรี่เป็นประจำในระยะเวลานาน จะส่งผลให้ความสามารถในการมองเห็นลดลง แถมยังเพิ่มความเสี่ยงของโรคต้อกระจก โรคจอประสาทตาเสื่อม และอาการตาแห้งได้อีกด้วย

 

อุบัติเหตุที่ดวงตา หรือ ดวงตาได้รับการกระทบกระเทือน

ผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุที่ดวงตา หรือว่าดวงตาได้รับการกระทบกระเทือน จะมีโอกาสเสี่ยงในการเป็นต้อกระจกมากกว่าปกติ เพราะว่าดวงตาที่ได้รับอุบัติเหตุ หรือได้กระทบกระเทือนนั้นอาจมีการชอกช้ำ หรือฉีกขาดของเนื้อเยื่อภายในลูกตา เช่น จอตาช้ำ จอตาฉีกขาด หรือเลนส์ตาเคลื่อน จึงทำให้ลูกตานั้นมีความสามารถในมองเห็นลดลง และเพิ่มความเสี่ยงการเป็นต้อกระจกได้ง่ายมากขึ้น

 

การรักษาด้วยยาบางชนิด

การรักษาทางการแพทย์ เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดต้อกระจก โดยเกิดได้จากการรับประทานยาเป็นประจำ หรือได้รับยากลุ่มสเตียรอยด์เป็นเวลานาน รวมถึงการได้รับการฉายรังสีบริเวณส่วนบนของร่างกาย หรือส่วนศีรษะอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งการรักษาทางการแพทย์เหล่านี้อาจเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเกิดต้อกระจกได้มากขึ้น

 

โรคทางกายที่สัมพันธ์กับภาวะต้อกระจก

นอกจากสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดต้อกระจกได้แล้ว ยังมีโรคทางกายที่สัมพันธ์กับภาวะต้อกระจก หรือเรียกว่าโรคประจำตัวที่เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกได้มากขึ้น โดยโรคทางกายดังกล่าวมีทั้งหมด ดังนี้

 

  • โรคเบาหวาน : โรคที่เกิดจากความบกพร่องของฮอร์โมนอินซูลินที่ผลิตจากตับอ่อน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ซึ่งโรคเบาหวานที่ส่งผลกับดวงตานั้น รู้จักกันในอีกชื่อเรียกว่า เบาหวานขึ้นตา
  • โรคกาแล็กโทซีเมีย : โรคที่เกิดจากร่างกายขาดเอนไซม์ที่เร่งปฏิกิริยาการเปลี่ยนน้ำตาลกาแล็กโทสเป็นน้ำตาลกลูโคส ทำให้น้ำตาลกาแล็กโทสในเลือดสูงกว่าปกติ
  • โรควิลสัน : โรคที่เกิดจากระบบทำงานของตับไม่สามารถกำจัดแร่ธาตุทองแดงส่วนเกินออกไปได้ จึงทำให้เกิดการสะสมของแร่ธาตุทองแดงเป็นจำนวนมาก หรือเรียกว่า “ภาวะทองแดงคั่งในร่างกาย”

 

โรคทางตาที่สัมพันธ์กับภาวะต้อกระจก

โรคทางตาที่สัมพันธ์กับภาวะต้อกระจก เป็นโรคที่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนร่วมกับโรคภายในระบบตาอื่น ๆ อย่างเช่ โรคม่านตาอักเสบ ลูกตาติดเชื้อ หรือเคยผ่าตัดดวงตามาก่อน เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนแต่เป็นโรคและอาการทางสายตาที่ส่งผลให้เกิดภาวะต้อกระจกได้ง่ายขึ้นทั้งสิ้น

 

ระยะอาการของผู้ป่วยต้อกระจก

ระยะอาการของผู้ป่วยต้อกระจก

อาการของต้อกระจกนั้นเกิดจากการเสื่อมสภาพของแก้วตาตามช่วงอายุ โดยระยะอาการของต้อกระจกในแต่ละระยะจะไม่เหมือนกัน ซึ่งแบ่งระยะอาการของผู้ป่วยต้อกระจกได้ทั้งหมด ดังนี้

 

  • ระยะที่ 1 เป็นระยะที่แก้วตาเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง อาจส่งผลให้ความสามารถมองเห็นน้อยลง ไม่ชัดเจนเท่าที่ควร เห็นแสงสะท้อนไฟจนรบกวนการมองเห็น และทำให้ดวงตาเมื่อยล้าง่ายมากขึ้น
  • ระยะที่ 2 เป็นระยะที่ต้อกระจกมีความขุ่นไม่มาก แต่จะค่อย ๆ เพิ่มความขุ่นจากตรงกลางแก้วตาขึ้นมาทีละเล็กน้อย พร้อมกับกระจายออกไปในบริเวณรอบแก้วตา โดยจักษุแพทย์มักจะแนะนำผู้ป่วยในระยะนี้ให้ใช้แว่นสายตาที่มาพร้อมกับคุณสมบัติตัดแสงสะท้อน เพื่อช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น
  • ระยะที่ 3 เป็นระยะที่ต้อกระจกมีความขุ่นสูง โดยความขุ่นนั้นจะกระจายไปทั่วทั้งแก้วตา ซึ่งเป็นระยะที่ตามัวลงเป็นอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น และการใช้ชีวิตประจำวันมากที่สุด และเป็นระยะที่จักษุแพทย์แนะนำให้เข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดต้อกระจก
  • ระยะที่ 4 เป็นระยะที่ต้อกระจกขุ่นและสายตามัวกว่าระยะที่ 3 เป็นอย่างมาก นอกจากนั้น ต้อกระจกในระยะนี้ยังเป็นอันตราย ควรเข้ารับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน เพราะถ้าหากทิ้งไว้อาจทำให้ผ่าตัดได้ยากขึ้น และอาจก่อให้เกิดต้อหินตามมาในภายหลังได้

 

ระยะของต้อกระจก

ระยะของต้อกระจก 

ระยะของต้อกระจกสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะ Incipient, ระยะ Intumescent, ระยะ Mature และระยะ Hypermature โดยแต่ละระยะของต้อกระจกนั้นมีรายละเอียด ดังนี้

 

  • ระยะ Incipient เป็นระยะแรกเริ่มที่สายตาเริ่มมีความขุ่นมัวขึ้น โดยแบ่งลักษณะการเกิดความขุ่นของแก้วตาในระยะนี้ได้ 2 แบบ ได้แก่ 1. รอบแก้วตาเกิดความขุ่น แต่กลางแก้วตายังใสเป็นปกติ และ 2. รอบแก้วตาใสเป็นปกติ แต่กลางแก้วตาขุ่น ซึ่งผู้ป่วยในระยะนี้อาจจะไม่รู้สึกว่าสายตามีความขุ่นมัว หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น จนกว่าต้อกระจกจะมีความขุ่นเพิ่มมากขึ้น และทำให้ผู้ป่วยรับรู้ว่าสายตาของตัวเองนั้นมัวลงอย่างเห็นได้ชัด
  • ระยะ Intumescent เป็นระยะที่เลนส์ตาเริ่มมีอาการบวม เพราะดูดซึมน้ำเข้าไป จึงทำให้แก้วตาโค้งเพิ่มมากขึ้น และอาจดันม่านตาไปข้างหน้า ส่งผลให้ช่องม่านตาตื้นขึ้น
  • ระยะ Mature เป็นระยะที่แก้วตาเกิดความขุ่นขึ้นที่เส้นใยของแก้วตาทุกเส้น ทำให้มองเห็นแก้วตาเป็นสีขาวขุ่นทั้งอัน ซึ่งในระยะ Mature นั้นจักษุแพทย์ หรือผู้ตรวจจะไม่สามารถมองเห็นแสงสะท้อนจากจอประสาทตา (Red Reflex) ได้ เพราะว่าแสงไม่สามารถผ่านความขุ่นที่เกิดขึ้นทุกเส้นใยของแก้วตาได้
  • ระยะ Hypermature เป็นระยะที่ต้อกระจกสุกมากจนเส้นใยแก้วตาที่เคยมีความขุ่นนั้นสลาย และกลายเป็นของเหลว ถ้าหากเส้นใยนั้นสลายเพิ่มมากขึ้น ก็จะทำให้นิวเคลียสของแก้วตาเคลื่อนที่ไปมาภายในแคปซูลของแก้วตาได้

 

ต้อกระจกสามารถรักษาได้หรือไม่?

ต้อกระจกสามารถรักษาได้หรือไม่?

ต้อกระจกนั้นรักษาได้ด้วยวิธีการรักษาแบบไม่ผ่าตัด และแบบผ่าตัด ซึ่งผู้ป่วยต้อกระจกจะเข้ารับการรักษาแบบไหนนั้นขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยและดุลยพินิจของจักษุแพทย์ โดยวิธีการรักษาทั้ง 2 แบบนั้นมีรายละเอียด และความแตกต่างกัน ดังนี้

 

รักษาแบบไม่ผ่าตัด

การรักษาต้อกระจกโดยไม่ต้องผ่าตัด เป็นวิธีการรักษาที่เหมาะกับผู้ป่วยต้อกระจกในระยะแรก ๆ เท่านั้น ซึ่งเป็นการรักษาด้วยการตัดแว่นสายตาใหม่ หรือสวมใส่แว่นกันแดด เพื่อป้องกันแสงสะท้อน โดยวิธีเหล่านี้ช่วยชะลออาการได้ชั่วคราวเท่านั้น อีกทั้งผู้ป่วยควรปรึกษาจักษุแพทย์ก่อนเลือกใช้ยาหยอดตา เพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ป่วยด้วยเช่นกัน

 

รักษาแบบผ่าตัด

การผ่าตัดต้อกระจก หรือ Cataract Surgery คือ วิธีการรักษาต้อกระจกแบบผ่าตัดด้วยการผ่าตัดนำเลนส์แก้วตาที่มีความขุ่นออก และนำแก้วตาเทียมใส่เข้าไปแทนที่ เพราะว่าเป็นระดับที่ต้อกระจกส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หรืออาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาในอนาคตได้

 

  • ประเภทของการผ่าตัด

ประเภทของการผ่าตัดต้อกระจกในปัจจุบันนั้นมีหลากหลายประเภทเป็นอย่างมาก แต่ประเภทของการผ่าตัดที่นิยมใช้มีทั้งหมด 3 ประเภท ดังนี้

 

    • ผ่าตัดลอกต้อกระจก (ICCE: Intracapsular Cataract Extraction)

การผ่าตัดลอกต้อกระจก เป็นวิธีการผ่าตัดนำเลนส์ตา และถุงหุ้มเลนส์ออกทั้งหมด พร้อมกับลอกแก้วตาทั้งแคปซูล และเนื้อในแก้วตาออกด้วยการใช้ Freezing Probe ซึ่งการผ่าตัดด้วยวิธีนี้ส่งผลต่อความสามารถในการมองเห็นได้ เนื่องจากการวางเลนส์นั้นทำได้ยาก  นอกจากนี้แผลจากการผ่าตัดด้วยวิธีนี้จะมีขนาดใหญ่ และใช้เวลาในการฟื้นตัวพอสมควร

 

    • การผ่าตัดต้อกระจกแผลใหญ่ (ECCE: Extracapsular Extraction)

การผ่าตัดต้อกระจกแผลใหญ่ เป็นวิธีการผ่าตัดนำเอาแก้วตาออก และเหลือแต่เปลือกหุ้มแก้วตาด้านหลังไว้ โดยวิธีการผ่าตัดแบบแผลใหญ่นั้น ต้องเย็บแผลปิดหลายเข็ม ทำให้เกิดสายตาเอียงจากไหมเย็บดึงกระจกตาใช้เวลาพักฟื้นนาน และอาจเกิดพังผืดบริเวณส่วนบนตาขาว

 

    • การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Phacoemulsification) 

การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง เป็นวิธีการผ่าตัดต้อกระจกด้วยการใช้คลื่นเสียง หรืออัลตราซาวด์ที่มีความถี่สูงเข้าไปสลายเนื้อแก้วตา และดูดแก้วตาที่สลายออกมา แล้วจึงนำแก้วตาเทียมใส่เข้าไปแทนที่ โดยการผ่าตัดด้วยวิธีนี้ส่งผลให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก โอกาสสายตาเอียงหลังจากผ่าตัดมีน้อย และใช้เวลาพักฟื้นเร็วขึ้น แต่การผ่าตัดนี้ต้องดำเนินการโดยแพทย์ที่มีความชำนาญสูง และอาจมีค่าใช้จ่ายแพงกว่าวิธีอื่น ๆ 

 

  • การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัด

ในการเตรียมตัวก่อนผ่าตัดต้อกระจกนั้น จักษุแพทย์จะตรวจความดันตาและประสาทตาอย่างละเอียด พร้อมกับตรวจหาโรคอื่น ๆ ที่อาจเป็นอุปสรรคในระหว่างการผ่าตัด หรือหลังการผ่าตัด และเพื่อให้การผ่าตัดนั้นมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งก่อนการผ่าตัดนั้น ผู้ป่วยที่มีอาการต้อกระจกควรเตรียมตัว ดังนี้

 

    • สำหรับการผ่าตัดต้อกระจกในผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยมีโรคประจำตัวนั้น หากมียาที่ทานเป็นประจำ ผู้ป่วยทานยาได้เป็นปกติจนถึงวันผ่าตัด ยกเว้นว่ายาที่ทานคือยาละลายลิ่มเลือด ผู้ป่วยที่รับประทานยาชนิดนี้ ควรงด 7 วันก่อนการผ่าตัด 
    • งดรับประทานอาหารก่อนเข้ารับการผ่าตัด 12 ชั่วโมง ในกรณีที่มีการให้ยาสลบก่อนการผ่าตัด
    • งดแต่งหน้า พร้อมกับทำความสะอาดดวงตา และรอบดวงตาให้เรียบร้อย แต่สามารถล้างหน้าก่อนนอน และเช้าวันผ่าตัดได้
    • ดูแลความสะอาดร่างกายให้พร้อมสำหรับการผ่าตัด เช่น สระผม ตัดเล็บ โกนหนวด แปรงฟัน ทำความสะอาดปาก หรือการอาบน้ำ เป็นต้น

 

  • การดูแลตนเองหลังการผ่าตัดต้อกระจก

หลาย ๆ คนอาจมีข้อสงสัยว่าหลังจากผ่าตัดต้อกระจกต้องพักฟื้นกี่วัน หรือหลังผ่าตัดแล้ว สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้หรือไม่ ซึ่งการผ่าตัดต้อกระจกนั้นใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ แต่อาจจะต้องระมัดระวังพฤติกรรมของผู้ป่วยเอง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ โดยวิธีการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดต้อกระจกแบบง่าย ๆ มีดังนี้

 

    • หยอดตาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ 
    • ล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังการเช็ดทำความสะอาดตา และหยอดตา
    • เช็ดทำความสะอาดรอบดวงตา และใบหน้าให้สะอาด เพื่อป้องกันเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่แผลผ่าตัด
    • ผู้ป่วยห้ามขยี้ตา เพราะอาจทำให้แผลเกิดการฉีกขาด หรือเลือดออกได้
    • ระวังไม่ให้น้ำเข้าตาในขณะที่อาบน้ำ หรือสระผม
    • หลีกเลี่ยงการไอ หรือจามแรง ๆ และไม่ก้มศีรษะต่ำกว่าระดับเอว

วิธีป้องกันต้อกระจก

วิธีป้องกันต้อกระจก

สำหรับวิธีป้องกันการเกิดต้อกระจกนั้นยังไม่มีวิธีที่สามารถป้องกันได้ 100% เพราะเป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของแก้วตาตามช่วงอายุ แต่ว่าวิธีที่สามารถชะลอการเกิดต้อกระจกได้นั้น มีดังนี้

 

  • หลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดโดยตรง ถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้สวมใส่แว่นกันแดด หรือหมวก เพื่อป้องกันดวงตาจากรังสีอัลตราไวโอเลต
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กระตุ้นให้เกิดต้อกระจกเร็วขึ้น เช่น การสูบบุหรี่ หรือการดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น
  • หลีกเลี่ยงการใช้สายตาเป็นระยะเวลานาน และควรพักสายตาเป็นระยะ
  • ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปควรเข้ารับการตรวจสายตาเป็นประจำทุกปี
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และช่วยบำรุงสายตา โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามิน A C และ E เช่น ไข่ นม เนื้อสัตว์ แครอท ฟักทอง มะเขือเทศ และมะละกอสุก เป็นต้น

 

โรคต้อกระจก เป็นโรคที่มักเกิดผู้ป่วยที่มีอายุ 40-50 ปีขึ้นไป

 

เพราะว่าต้อกระจกเกิดจากการเสื่อมสภาพของแก้วตาตามช่วงวัย แต่ก็เกิดขึ้นกับวัยอื่น ๆ ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการเกิดจากทางพันธุกรรม หรือมีพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุของการเกิดต้อกระจก โดยอาการหลักของต้อกระจก คือ ความสามารถในการมองเห็นลดลง หรือตามัว ซึ่งวิธีการักษาที่ได้ผลดีที่สุด คือ การผ่าตัดต้อกระจก และในปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันการเกิดต้อกระจกได้ แต่สามารถชะลอการเกิดได้ด้วยการดูแลสุขภาพ และปรับพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน พร้อมกับตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำ เพื่อยับยั้งปัจจัยที่อาจส่งเสริมให้เกิดต้อกระจก และลดโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นต้อกระจกตั้งแต่อายุยังน้อยได้

SHARE