มะเร็งตับอ่อน เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ตับอ่อน แม้ว่าจะเป็นมะเร็งทางเดินอาหารที่พบได้ไม่บ่อยนัก แต่มีความรุนแรงและอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูง ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักตรวจพบในระยะท้ายของโรค เนื่องจากมะเร็งตับอ่อนในระยะแรก ๆ ค่อนข้างวินิจฉัยได้ยาก เพราะผู้ป่วยอาจยังไม่แสดงอาการใด ๆ จนกระทั่งมะเร็งมีขนาดใหญ่และลุกลามแล้ว
ใครบ้างเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับอ่อน ?
พบว่ามะเร็งตับอ่อนอาจสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ดังนี้
- เพศชายพบบ่อยกว่าเพศหญิง
- พบบ่อยในช่วงอายุมากกว่า 40 ปี
- โรคเบาหวาน
- การสูบบุหรี่
- โรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรังจากสาเหตุต่าง ๆ
- โรคอ้วน
- การรับประทานอาหารไขมันสูง
อาการของมะเร็งตับอ่อนเป็นอย่างไร ?
- ปวดท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่ร้าวไปหลัง
- ท้องอืด แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
- คลำพบก้อนที่ท้อง
- ตับโต ถุงน้ำดีโต
- ตัวเหลือง ตาเหลือง คันตามตัว
- ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีซีด
- น้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำเกินไป
การตรวจวินิจฉัยมะเร็งตับอ่อนทำอย่างไร ?
นอกจากการซักประวัติและตรวจร่างกายเบื้องต้น ยังมีวิธีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อช่วยวินิจฉัยมะเร็งตับอ่อน ดังนี้
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) และการตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อดูตำแหน่งและขนาดของมะเร็ง และดูการลุกลามของโรคไปยังอวัยวะอื่น
- การส่องกล้องอัลตราซาวด์ (Endoscopic ultrasound) เพื่อดูโครงสร้างภายในตับอ่อนและการอุดตันทางเดินน้ำดี
- การส่องกล้องทางเดินอาหารตรวจทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (ERCP)
- การตรวจเลือดและการตัดชิ้นเนื้อตรวจทางพยาธิวิทยา
มะเร็งตับอ่อนรักษาอย่างไร ?
การรักษามะเร็งตับอ่อนที่สำคัญคือการผ่าตัด วิธีที่ใช้บ่อย คือ การผ่าตัด Whipple’s operation เพื่อเอาส่วนหัวของตับอ่อน ลำไส้เล็กส่วนต้น กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี รวมทั้งต่อมน้ำเหลืองโดยรอบออก และการผ่าตัดบายพาสเพื่อแก้ไขภาวะอุดกั้นทางเดินน้ำดีและทางเดินอาหาร หากเป็นมะเร็งระยะลุกลามที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ แพทย์จะใช้วิธีการรักษาอื่นร่วม ได้แก่ การฉายรังสี การให้ยาเคมีบำบัด และการใช้ยามุ่งเป้า