โรคกรดไหลย้อน หรือ Gastro Esophageal Reflux Disease (GERD) เป็นภาวะที่น้ำย่อย หรือกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร
อาการของโรคกรดไหลย้อน
ส่วนใหญ่จะมีอาการแสบร้อนบริเวณลิ้นปี่หรือยอดอก หรือร่วมกับมีภาวะเรอเปรี้ยว ซึ่งเป็นกรดหรือน้ำย่อยที่มีรสเปรี้ยวปนขมย้อนขึ้นมาที่คอหรือปาก โดยจะเป็นมากขึ้นหลังจากการกินอาหารโดยเฉพาะเมื่อกินปริมาณมากๆ หรือเมื่อมีการก้มโน้มตัวไปข้างหน้า เมื่อออกแรงยกของหนัก หรือเวลานอนหงาย ภาวะนี้หากเป็นบ่อยๆ จะทำให้เกิดหลอดอาหารอักเสบหรือเป็นมากจนเป็นแผลรุนแรง อาจทำให้ปลายหลอดอาหารตีบ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุหลอดอาหาร จนถึงขั้นเป็นมะเร็งได้
บางรายอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการของโรคด้านหู คอ จมูก เช่น ไอเรื้อรัง เสียงแหบ หรือหอบหืด เจ็บหน้าอกที่ไม่ใช่อาการของโรคหัวใจ เป็นต้น
สำหรับเด็กทารกถึงเด็กโต ก็เป็นโรคนี้ได้ ซึ่งมีอาการดังนี้ อาเจียนบ่อยหลังดูดนม มีภาวะโลหิตจาง น้ำหนักตัวไม่เพิ่มขึ้น เจริญเติบโตช้า ไอเรื้อรัง หอบหืด อาจมีปอดอักเสบเรื้อรัง
ถ้ามีอาการดังกล่าวควรทำอย่างไร
หากเป็นโรคนี้จริง จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยกินยาลดการหลั่งกรด เป็นระยะเวลา 6 – สัปดาห์ แล้วติดตามอาการโดยพบแพทย์อย่างต่อเนื่อง อาจต้องกินยาต่อเนื่องไปอีก ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรค ในรายที่เป็นเรื้อรังกินแล้วไม่ดีขึ้น อาจต้องตรวจเพิ่มเติม โดยการส่องกล้องทางเดินอาหาร ตรวจวัดการบีบตัวของหลอดอาหาร และตรวจวัดความเป็นกรด – ด่าง ในหลอดอาหาร (24 – hr pH monitoring) ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีการตรวจโรคกรดไหลย้อนที่ให้ผลแม่นยำและดีที่สุดในปัจจุบัน
การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน
เป้าหมายที่สำคัญสำหรับการรักษาโรคนี้ คือ ให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น รักษาการอักเสบของแผลในหลอดอาหารรวมถึงการป้องกันภาวะแทรกซ้อน ซึ่งนอกจากการใช้ยาแล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วยก็เป็นปัจจัยที่สำคัญของการหายของโรค ซึ่งมีดังต่อไปนี้
- งดสูบบุหรี่ / ดื่มสุรา
- งดดื่มน้ำชา กาแฟ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ หรืออาหารรสเปรี้ยวจัด เผ็ดจัด อาหารไขมันสูง ช็อกโกแลต
- ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน
- ควบคุมอาหารมื้อเย็น ไม่กินในปริมาณมาก
- ไม่นอนทันทีหลังรับประทานเสร็จ ควรเว้นระยะเวลาอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
- รับประทานน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง
- ไม่ใส่เสื้อผ้ารัดรูป หรือแน่นๆ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- แนะนำให้นอนตะแคงซ้าย หรือนอนศีรษะสูงอย่างน้อย 6 นิ้ว
โรคกรดไหลย้อน เป็นโรคที่พบบ่อยมากขึ้นในปัจจุบัน แม้จะไม่อันตรายร้ายแรงถึงแก่ชีวิต แต่ก็สร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ที่เป็นโรคนี้ไม่มากก็น้อย หากคุณเป็นหนึ่งที่มีอาการดังกล่าว หรือสงสัยว่าใช่โรคนี้หรือไม่ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรับการรักษา อย่าซื้อยารับประทานเอง เพราะอาจมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ และอาจเป็นการรักษาที่ไม่ตรงจุด ทำให้รักษาไม่หายและมีแนวโน้มเป็นรุนแรงและเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ได้