
เชื้อ Helicobacter pylori (H. pylori) เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น เจริญเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรดทำให้สามารถอาศัยอยู่ในกระเพาะอาหารได้เป็นเวลานานหลายสิบปี แบคทีเรียชนิดนี้ทำให้เกิดความผิดปกติของกระเพาะอาหาร เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดแผลในกระเพาะอาหารและการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร
เชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร (H. pylori) คืออะไร ?
เชื้อ Helicobacter pylori (H. pylori) เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น เจริญเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรดทำให้สามารถอาศัยอยู่ในกระเพาะอาหารได้เป็นเวลานานหลายสิบปี แบคทีเรียชนิดนี้ทำให้เกิดความผิดปกติของกระเพาะอาหาร เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดแผลในกระเพาะอาหารและการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร
เชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไรติดต่อได้อย่างไร ?
เชื่อว่าเชื้อแบคทีเรียนี้สามารติดต่อผ่านการสัมผัสกับผู้ที่ติดเชื้อโดยตรง เช่น ทางปากสู่ปาก หรือการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ การอาศัยร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อเอชไพโลไรเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ
ผู้ติดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไรมีอาการอย่างไร ?
ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะเกิดภาวะกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังแต่ไม่แสดงอาการ แต่ในบางรายอาจมีการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหารจนทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ดังนี้
- ปวดท้องเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ มักปวดบริเวณท้องส่วนบน อาการปวดรุนแรงเมื่อท้องว่างหรือหลังรับประทานอาหาร
- ท้องอืด อาหารไม่ย่อย
- คลื่นไส้ อาเจียน
- เบื่ออาหาร
- อาเจียนเป็นเลือดหรือสีน้ำตาลคล้ำ อุจจาระเป็นสีดำคล้ายยางมะตอย ในกรณีที่มีภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้น
ใครบ้างควรตรวจหาเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร ?
- ผู้ที่มีอาการของโรคกระเพาะอาหาร
- ผู้ที่พบรอยโรคในกระเพาะอาหาร ทั้งกระเพาะอาหารอักเสบ แผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น
- บุคคลในครอบครัวมีประวัติเกี่ยวกับโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร
- ผู้ที่จำเป็นต้องรับประทานยาแก้ปวดหรือยากลุ่ม NSAID เป็นประจำ
การตรวจหาเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไรทำอย่างไร ?
การตรวจหาเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไรสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
- การตรวจลมหายใจด้วยวิธี Urea Breath Test โดยให้ผู้ป่วยดื่มสารละลายที่มียูเรีย จากนั้นวิเคราะห์ลมหายใจตรวจหาปริมาณแอมโมเนียที่เพิ่มขึ้น หากพบว่ามีปริมาณแอมโมเนียเพิ่มมากขึ้นแสดงว่ามีเชื้อเอชไพโลไรในทางเดินอาหาร
- การตรวจโดยการส่องกล้องทางเดินอาหาร ทำการเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อเยื่อบุกระเพาะอาหารมาตรวจหาการติดเชื้อหรือตรวจทางพยาธิวิทยา
- การตรวจแอนติเจนในอุจจาระ เป็นการเก็บอุจจาระเพื่อตรวจหาแอนติเจนของเชื้อเอชไพโลไรในอุจจาระ ซึ่งบ่งบอกถึงการติดเชื้อ
- การตรวจแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไพโลไรในเลือด ยืนยันการสัมผัสเชื้อได้ แต่ไม่สามารถแยกระหว่างการติดเชื้อในปัจจุบันหรือการติดเชื้อในอดีต
การติดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไรรักษาอย่างไร ?
เชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไรสามารรักษาได้โดยการใช้ยายับยั้งการหลั่งกรดร่วมกับยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อ โดยรับประทานยาต่อเนื่อง 1-2 สัปดาห์ ตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย
หลังการรักษาผู้ป่วยควรได้รับการตรวจหาเชื้อซ้ำโดยอาจใช้วิธีการตรวจลมหายใจเพื่อติดตามผลการรักษา หากพบว่ายังมีการติดเชื้ออยู่ ผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษาซ้ำโดยการปรับเปลี่ยนยา