
ความจริงแล้วเด็กสามารถป่วยด้วยโรคที่เหมือนกับผู้ใหญ่ได้ เพราะบางโรคนั้นมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้กับทุกช่วงวัย ดังนั้นพ่อแม่มือใหม่ควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมของลูกน้อยอยู่เสมอ หากพบอาการที่ผิดสังเกตไปจากเดิม เช่น ชักเกร็ง ปวดหัวมาก ๆ จนนอนไม่ได้ ใบหน้ากระตุก แนะนำให้รีบไปพบแพทย์ทันที ซึ่งถ้าหากว่าไม่แน่ใจว่าลูกน้อยเป็นอะไร เบื้องต้นโรงพยาบาลสินแพทย์ รพ.เด็ก อยากจะมาแนะนำ 5 โรคยอดฮิต ที่พบได้บ่อย ๆ โดยจะมาอธิบายทั้งอาการพร้อมวิธีรักษา รวมถึงแนะนำศูนย์โรคทางระบบประสาทและสมอง เพื่อให้พ่อแม่ทำความเข้าใจ และตั้งรับได้ทันกับอาการเจ็บป่วยของลูกน้อย
โรคลมชัก
โรคลมชัก เป็นหนึ่งในโรคทางระบบประสาทที่พบได้บ่อยในเด็ก ส่งผลกระทบโดยตรงในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นด้านพัฒนาการ การใช้ชีวิตประจำวัน การเข้าสังคม และการเรียน และเมื่อไหร่ก็ตามที่มีอาการชักแบบเฉียบพลัน อาจจะเกิดผลกระทบตามมาได้ ไม่ว่าจะเป็น
- อุบัติเหตุจากการสูญเสียการควบคุมของร่างกาย
- มีปัญหาด้านการเรียนรู้และพัฒนาการ
- มีปัญหาด้านอารมณ์ ปัญหาด้านจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการสะสมความเครียด ความกังวล และในบางรายลุกลามไปจนสู่การเป็นโรคซึมเศร้าได้
อาการ
อาการโรคลมชักในเด็กมีหลายอาการ ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับกระแสไฟฟ้าในสมอง ว่าผิดปกติบริเวณไหน เสียหายมากหรือน้อยขนาดไหน เด็กบางรายสังเกตได้ยากทำให้พ่อแม่ไม่รู้ว่าเด็กกำลังเกิดภาวะชักอยู่ ดังนั้นผู้ปกครองควรที่จะสังเกตพฤติกรรมบ่อย ๆ หากพบความผิดปกติ หรือพฤติกรรมผิดไปจากเดิมซ้ำ ๆ ควรรีบไปพบแพทย์ อาการชักที่พบบ่อยในเด็ก ได้แก่
- ชักแบบเหม่อลอย : เหม่อลอย นิ่งระหว่างพูดคุย เรียกยังไงก็ไม่รู้สึกตัว ไม่มีอาการทางกล้ามเนื้อที่ชัดเจน อาจจะมีเพียงกระพริบตาถี่ ๆ เท่านั้น
- ชักแบบทั้งร่างกาย : แขน ขา ข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างกระตุกเกร็ง หรือในรายที่มีอาการหนัก อาจจะพบได้ว่าเป็นทั้งตัว และเมื่อกลับเข้าสู่ภาวะปกติ จะจำไม่ได้ว่าตัวเองเกิดภาวะชักมาก่อน
วิธีรักษา
วิธีรักษาโรคลมชัก สามารถทำได้ 3 วิธี หลัก ๆ ได้แก่
- การกินยากันชัก : ยากันชักจะช่วยกดสมองส่วนที่ปล่อยคลื่นลมชักออกมา เพื่อป้องกันการชัก ปัจจุบันมียาหลายชนิด ซึ่งแพทย์จะเป็นคนเลือกชนิดที่เหมาะสมให้กับเด็กแต่ละช่วงวัย และยังคำนึงถึงผลข้างเคียงด้วย
- การควบคุมอาการแบบคีโตเจนิค : สำหรับเด็กที่ควบคุมการชักไม่ได้ และการรักษาแบบยาไม่ตอบสนองเท่าที่ควร
- การผ่าตัด : เป็นวิธีสุดท้ายที่แพทย์จะเลือกใช้ และจะผ่าตัดก็ต่อเมื่อการรักษาด้วยยา และควบคุมอาการแบบคีโตเจนิคไม่ได้ผล
โรคไมเกรน
โรคไมเกรนในเด็กสามารถวินิจฉัยได้จากการซักประวัติและตรวจร่างกาย แต่ด้วยความที่บางครั้งเด็กจะไม่สามารถอธิบายรายละเอียดได้ดีเท่ากับผู้ใหญ่ แพทย์จึงต้องสอบถามอย่างละเอียด เพื่อแยกระหว่างการปวดหัวไมเกรน กับการปวดหัวที่เกิดจากไซนัส ปวดฟัน สายตาสั้น โรครุนแรงอย่างเนื้องอกในสมองให้ชัดเจน
อาการ
อาการจะเป็น ๆ หาย ๆ ปวดศีรษะอย่างรุนแรงเพียงข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง บริเวณขมับจะปวดบีบ ๆ และจะรู้สึกคลื่นไส้ อาเจียนด้วย โดยจะมีระยะเวลาแสดงอาการอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ในเด็กบางรายอาจจะมีอาการนำมาก่อน เช่น เห็นแสงวูบวาบไปมา เห็นเส้นดำ ๆ รู้สึกชาตามร่างกาย โดยอาการมือชา เป็นตั้งแต่ 5 นาที จนนับชั่วโมง แต่สุดท้ายก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
วิธีรักษา
เมื่อได้รับวินิจฉัยว่าเป็นไมเกรน จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพียงแต่พ่อแม่และลูกน้อยสามารถที่จะช่วยกันดูแล ช่วยควบคุมอาการได้ ไม่ว่าจะเป็นการปรับวิถีการใช้ชีวิต พักผ่อนให้เพียงพอ เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ เลี่ยงคาเฟ่อีน และพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นอย่างความเครียด แสงจ้า อากาศร้อน เสียงดัง เป็นต้น
ปวดหัวเรื้อรัง
ปวดหัวเรื้อรังเป็นอีกหนึ่งโรคที่สร้างความหงุดหงิดใจให้กับเด็กได้ไม่น้อย โดยมักจะพบร่วมกับการเป็นไข้ เป็นไซนัส หรือแม้กระทั่งการปวดฟัน แต่ในบางรายอาจจะเกิดจากสาเหตุที่อันตรายได้
อาการ
อาการปวดหัว แบ่งได้เป็น 2 แบบ ดังนี้
- ปวดหัวแบบปฐมภูมิ : เป็นลักษณะการปวดหัวที่ไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน เช่น ปวดหัวจากความเครียด จากโรคไมเกรนเป็นต้น
- ปวดหัวแบบทุติยภูมิ : เป็นลักษณะการปวดหัวที่มีสาเหตุชัดเจน เช่น เป็นไข้ ติดเชื้อไวรัส หรือในระดับรุนแรงอย่างติดเชื้อที่ระบบประสาทส่วนกลาง เนื้องอก หรือเลือดออกในสมอง หากเข้ารับการรักษาไม่ทันท่วงทีอาจอันตรายถึงชีวิตได้
วิธีรักษา
วิธีรักษา ถ้าหากอาการปวดเป็นเฉียบพลันแต่ไม่รุนแรง ไม่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน มีสาเหตุที่ชัดเจน สามารถรับประทานยาแก้ปวดหัวและนอนพักได้ ถ้าพักแล้วยังไม่ดีขึ้นควรเข้ามาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุอาการต่อไป แต่ถ้าหากปวดฉับพลันรุนแรง ปวดเรื้อรัง แนะนำให้เข้ามาพบแพทย์ทันที
โรคไข้ชักกระตุก
โรคไข้ชักกระตุกจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเด็กมีไข้สูง แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าไม่ได้เกิดขึ้นกับเด็กทุกคน การชักโดยมีสาเหตุจากไข้ จะไม่ทำให้สมองพิการ ไม่มีปัญหาในด้านการเรียนรู้ มีสติปัญญาเหมือนเด็กทั่วไป แต่ถ้าหากพบในครั้งแรกแล้วว่ามีไข้ร่วมกับชัก ครั้งต่อไปจะมีโอกาสซ้ำได้ และจะเกิดภายใน 2 ปีแรก
อาการ
อาการโรคไข้ชักกระตุก โดยทั่วไปแล้วจะเริ่มจากมีน้ำมูก ไอ เจ็บคอ ต่อมาจะเริ่มเบื่ออาหาร ซึม อาเจียน มีไข้สูงจนชัก ตัวแข็ง ตัวเกร็ง มือและเท้ากระตุก ตาเหลือก กัดฟัน โดยอาการจะเป็นอยู่ที่ประมาณ 15 นาที บางคนชักนานกว่านั้น ส่งผลทำให้ ตามร่างกายเปลี่ยนเป็นสีเขียวเนื่องจากขาดออกซิเจน
วิธีรักษา
วิธีรักษาโรคไข้ชักกระตุก สามารถทำได้โดยการให้เด็กรับประทานยาลดไข้ ดื่มน้ำบ่อย ๆ คอยเช็ดตัวด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น ไม่ควรเปิดแอร์หรือเปิดพัดลมขณะเช็ดตัว ถ้าหากทำแล้วไข้ไม่ลดลง แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อป้องกันการชักจากไข้สูงได้
TICS ภาวะกล้ามเนื้อกระตุกติกส์ในเด็ก (Tics)
Tics ภาวะกล้ามเนื้อกระตุกติกส์ในเด็ก เป็นภาวะที่เกิดได้บ่อยในเด็กช่วงวัยเรียน โดยจะเกิดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้ออัตโนมัติ โดยเมื่อมีอาการ จะเกิดซ้ำ ๆ เป็น ๆ หาย ๆ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรบกับการใช้ชีวิตประจำวัน
อาการ
อาการของ tics จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ
- Motor tics : อาการที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวในส่วนของกล้ามเนื้อ อาทิเช่น กระพริบตา สะบัดหัว สะบัดไหล่ หรือทำท่าทางแปลก ๆ
- Vocal tics : อาการที่เกี่ยวข้องกับการเปล่งเสียง เช่น ร้องเสียงแหลม พูดคำที่ไม่มีความหมาย หรือพูดคำเดิมซ้ำ ๆ เป็นต้น
นอกจากนี้สำหรับเด็กที่เป็นโรค tics อาจจะยังมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ได้แก่ วิตกกังวล สมาธิสั้น นอนไม่หลับ และเกิดอารมณ์แปรปรวนได้
วิธีรักษา
วิธีรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงและปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยทั่วไป จะเน้นไปที่การบรรเทาอาการและการปรับพฤติกรรมเป็นหลัก โดยมีรายละเอียดดังนี้
- การปรับพฤติกรรม : เน้นให้เด็กฝึกการควบคุมอาการกระตุกได้ด้วยตัวเอง เช่น ฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ฝึกสมาธิ และหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้อาการแย่ลง
- การใช้ยา : แพทย์จะพิจารณาให้มีการใช้ยาในการช่วยควบคุมการกระตุก เช่น ยาที่ใช้สำหรับรักษาโรคสมาธิสั้น หรือยาลดความวิตกกังวล
นอกจากนี้ความเข้าใจและการให้กำลังใจจากผู้ปกครอง ยังเป็นหนึ่งในตัวช่วยที่ทำให้เด็กสามารถรับมือกับโรค และปรับตัวเข้ากับชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น
รักษากับศูนย์โรคทางระบบประสาทและสมองในเด็ก สินแพทย์ รามอินทรา
ศูนย์โรคทางระบบประสาทและสมองในเด็ก สินแพทย์ รามอินทรา เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับการรักษาภาวะ Tics ในเด็ก เนื่องจากเป็นศูนย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทในเด็กโดยตรง ทำให้มั่นใจได้ว่าบุตรหลานของคุณจะได้รับการดูแลและรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสม