ท้องผูกเรื้อรัง อันตรายไหม? เช็กสัญญาณที่ควรรีบพบแพทย์ (Chronic constipation)

3 July 2025 | 作者 โรงพยาบาลสินแพทย์ รามอินทรา

อาการอย่างไรเรียกว่าท้องผูกเรื้อรัง ?

อาการท้องผูกเรื้อรัง (Chronic constipation) คือ ภาวะที่มีอาการท้องผูกต่อเนื่องหรือเกิดซ้ำบ่อยนานเกิน 3 เดือน

โดยมีลักษณะอย่างน้อย 2 ข้อจากเกณฑ์การวินิจฉัยตาม Rome IV Criteria ดังนี้

 

  • ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
  • อุจจาระแข็งหรือเป็นก้อนเล็กมากกว่าร้อยละ 25 ของการถ่าย
  • ถ่ายอุจจาระลำบากต้องเบ่งมากกว่าร้อยละ 25 ของการถ่าย
  • รู้สึกถ่ายไม่สุดมากกว่าร้อยละ 25 ของการถ่าย
  • รู้สึกมีสิ่งอุดกั้นที่ทวารหนักมากกว่าร้อยละ 25 ของการถ่าย
  • จำเป็นต้องใช้มือช่วยล้วงหรือกดหน้าท้องเพื่อช่วยถ่ายมากกว่าร้อยละ 25 ของการถ่าย

 

โดยหากไม่ใช้ยาระบายก็ยากที่จะทำให้อุจจาระนิ่มลงและอาการต้องยังไม่เข้าเกณฑ์ของโรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome)

 

สาเหตุของอาการท้องผูกเรื้อรังมีอะไรบ้าง ?

1.อาการท้องผูกชนิดปฐมภูมิ (Primary constipation หรือ Functional constipation)

พบได้บ่อยที่สุด เกิดจาก

 

  • การเคลื่อนไหวของลำไส้ช้า (Slow transit constipation)
  • กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานทำงานไม่สัมพันธ์กัน (Dyssynergic defecation)
  • การเคลื่อนตัวของอุจจาระปกติแต่รู้สึกว่าท้องผูกหรืออาการท้องผูกแบบ IBS-C (Normal transit constipation)

2.อาการท้องผูกชนิดทุติยภูมิ (Secondary constipation)

เกิดจาก

 

  • พฤติกรรม เช่น ดื่มน้ำน้อย รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย ไม่ค่อยเคลื่อนไหว ไม่ออกกำลังกาย
  • โรคทางกาย เช่น โรคเบาหวาน ภาวะไทรอยด์ต่ำ ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง โรคพาร์กินสัน โรคปลายประสาทอักเสบ ไขสันหลังบาดเจ็บ เนื้องอก ภาวะลำไส้อุดตัน ภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล
  • ยา เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม opioids ยาต้านซึมเศร้า แคลเซียม ธาตุเหล็ก ยากันชัก

 

เมื่อไรต้องรีบไปพบแพทย์ ?

ผู้ที่มีอาการท้องผูกเรื้อรังร่วมกับสัญญาณเตือนต่างๆเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโดยเร็ว

 

  • ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดหรืออุจจาระสีดำ
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • เบื่ออาหาร อ่อนเพลียเรื้อรัง
  • มีภาวะซีด โลหิตจาง
  • ปวดท้องบ่อย ปวดท้องรุนแรง
  • มีอาการกลั้นอุจจาระไม่อยู่
  • ชาบริเวณก้นหรือขา
  • คลำก้อนได้ในท้องหรือทวารหนัก
  • มีประวัติเคยผ่าตัดช่องท้องหรือกระดูกสันหลัง
  • อาการท้องผูกเป็นครั้งแรกในผู้อายุมากกว่า 50 ปี
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ไทรอยด์ต่ำ โรคทางระบบประสาท
  • มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
  • ท้องผูกนานเกิน 3 สัปดาห์ รักษาด้วยตัวเองแล้วไม่ดีขึ้น ต้องใช้ยาระบายเป็นประจำ

 

การตรวจวินิจฉัยท้องผูกเรื้อรังทำอย่างไร ?

1.การซักประวัติและตรวจร่างกาย โดยการซักประวัติโรคประจำตัว พฤติกรรมการขับถ่าย ยาที่ใช้ อาการร่วมอื่นๆ ร่วมกับการตรวจร่างกายและการตรวจทวารหนักเพื่อตรวจดูความตึงตัวของกล้ามเนื้อหูรูดและก้อนอุจจาระ

2.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจเลือดหาภาวะโลหิตจาง ภาวะไทรอยด์ต่ำ ภาวะเกลือแร่ในเลือดผิดปกติ ระดับน้ำตาลในเลือด

3.การตรวจพิเศษเพิ่มเติม ได้แก่

  • Abdominal X-ray : ประเมินลำไส้โป่งพองหรือลำไส้ตัน
  • Colonoscopy : ส่องกล้องตรวจหาก้อนมะเร็งหรือลำไส้ตีบ
  • Anorectal manometry : ประเมินการทำงานของกล้ามเนื้อหูรูดและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
  • Balloon expulsion test : ทดสอบการเบ่งถ่าย
  • Colonic transit study : ประเมินความเร็วการเคลื่อนตัวของลำไส้
  • Defecography : ตรวจภาพการทำงานของลำไส้ตรงและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานขณะเบ่งถ่าย

 

ท้องผูกเรื้อรังรักษาอย่างไร ?

การรักษาอาการท้องผูกเรื้อรังจะรักษาโรคที่เป็นสาเหตุร่วมกับการปรับพฤติกรรมการขับถ่าย การรับประทานอาหาร การฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน การรักษาโดยการใช้ยาช่วยการขับถ่าย สำหรับการผ่าตัดเอาลำไส้ใหญ่บางส่วนออกใช้ในกรณีที่ลำไส้มีการเคลื่อนไหวช้าอย่างรุนแรงและรักษาด้วยวิธีอื่นๆแล้วไม่ได้ผล

 

ป้องกันอย่างไรไม่ให้ท้องผูกเรื้อรัง ?

  • สร้างวินัยในการขับถ่ายให้เป็นเวลา ใช้เวลาในการขับถ่ายให้เพียงพอ
  • ไม่กลั้นอุจจาระ
  • บริโภคอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระและทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ ช่วยให้อุจจาระนุ่มลง
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้
  • ลดความเครียดและพยายามผ่อนคลาย
SHARE