รู้ทัน ไส้ติ่งอักเสบ อาการ สาเหตุ และการรักษาที่คุณควรรู้ (Appendicitis)

21 May 2025 | Author โรงพยาบาลสินแพทย์ รามอินทรา

ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) หนึ่งในภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่พบได้บ่อย ซึ่งหากปล่อยไว้อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อชีวิตได้ หลายคนอาจเคยปวดท้องแล้วคิดว่าเป็นแค่อาการกระเพาะอาหารอักเสบ ลำไส้อักเสบ และอื่น ๆ แต่จริง ๆ แล้วอาการปวดท้องบางประเภทอาจเป็นสัญญาณเตือนภาวะไส้ติ่งอักเสบที่ไม่ควรมองข้าม บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับภาวะไส้ติ่งอักเสบ มากขึ้นดังต่อไปนี้



ไส้ติ่งคืออะไร ?

ไส้ติ่ง (Appendix) เป็นอวัยวะภายในอันหนึ่งในร่างกาย มีขนาดเล็กและมีรูปร่างคล้ายท่อ มีตำแหน่งอยู่ที่ปลายด้านขวาล่างของลำไส้ใหญ่

 

กลไกการเกิดไส้ติ่งอักเสบ

ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) เกิดจากเศษอาหาร อุจจาระ หรือแม้กระทั่งพยาธิไปอุดตันที่ไส้ติ่ง ทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรีย และเกิดการอักเสบ จนทำให้เกิดอาการปวดท้องรุนแรงและเฉียบพลัน

 

ไส้ติ่งแตกเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ และต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะจะทำให้แบคทีเรียจากลำไส้กระจายเข้าสู่ช่องท้องทั้งช่อง การติดเชื้อนี้ เรียกว่า เยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) อาจลุกลามสู่กระแสเลือดและก่อให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) ซึ่งอันตรายถึงชีวิต การรักษาทั่วไปของไส้ติ่งอักเสบคือการผ่าตัดนำไส้ติ่งออก (Appendectomy) การตัดไส้ติ่งออกไม่ส่งผลกระทบใดต่อการทำงานของร่างกาย ไส้ติ่งอาจพบได้ตั้งแต่เด็กถึงวัยผู้ใหญ่ (10-30 ปี)

 

 

อาการไส้ติ่งอักเสบ

 

ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) พบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในอายุไม่เกิน 30 ปี ไส้ติ่งอักเสบมักแสดงอาการปวดคล้ายอาการปวดท้องทั่วไป ดังนั้นต้องหมั่นสังเกตด้วยตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่อาการของโรคไส้ติ่งอักเสบจะเกิดขึ้นเป็นลำดับ  ดังนี้

 

  •  ไส้ติ่งเริ่มมีการอุดตัน อาการแรกที่พบบ่อยคือปวดรอบๆ หน้าท้อง บริเวณสะดือ หรือระบุตำแหน่งที่รู้สึกปวดไม่ได้
  •  เมื่อไส้ติ่งมีการอักเสบ อาการปวดจะค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น  และเป็นอยู่นานราวๆ 6 ชั่วโมง
  •  เริ่มมีอาการเหมือนคนท้องร่วงแต่ถ่ายไม่ออก เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้
  •  อาการปวดชัดเจนบริเวณท้องน้อยข้างขวา  รู้สึกปวดเสียดตลอดเวลา อาการเพิ่มมากขึ้นจนทนไม่ไหว หรือไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
  • หากไม่ได้รับการรักษา ไส้ติ่งมีการอักเสบและติดเชื้อรุนแรง กลายเป็นฝีหนอง โดยระยะอาการปวดมักไม่เกิน 3 วัน
  • สุดท้ายไส้ติ่งจะแตกทะลุ ทำให้มีการติดเชื้อในโพรงช่องท้อง อาจส่งผลให้ติดเชื้อในกระแสเลือด ไข้สูง ปากแห้ง คอแห้ง อ่อนเพลียอย่างมาก และอาจเสียชีวิตได้

 

การตรวจวินิจฉัย

เมื่อผู้ป่วยไปโรงพยาบาลด้วยอาการปวดท้อง แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจเลือด และตรวจปัสสาวะ อาจมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจอัลตร้าซาวด์ การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) ของช่องท้องเพิ่มเติม เพื่อการวินิจฉัยที่รวดเร็ว และแม่นยำมากขึ้น

 

การผ่าตัดไส้ติ่ง

เมื่อผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ การรักษาที่เหมาะสมคือ การได้รับการผ่าตัดไส้ติ่งที่อักเสบออกมาโดยเร็ว ร่วมกับการใช้ยาปฏิชีวนะ

 

การผ่าตัดไส้ติ่งมี 2 แบบ คือ

 

  • การผ่าตัดแบบเปิด (Open Appendectomy) โดยมีบาดแผลบริเวณท้องน้อยด้านขวา ตรงตำแหน่งของไส้ติ่งที่อักเสบ
  • การผ่าตัดไส้ติ่งโดยการส่องกล้อง (Laparoscopic Surgery) หรือ MIS (Minimal Invasive Surgery) ซึ่งได้รับความนิยมในปัจจุบัน  แผลมีขนาดเล็ก เจ็บน้อย และใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน สิ่งสำคัญคือ แพทย์สามารถเห็นความผิดปกติได้ชัดเจนผ่านกล้อง ทำให้การผ่าตัดมีความปลอดภัยและแม่นยำ

 

 

การผ่าตัดไส้ติ่ง ด้วยวิธีส่องกล้อง (Laparoscopic Surgery) หรือ MIS (Minimal Invasive Surgery)

MIS (Minimal Invasive Surgery)

 

ในปัจจุบันทั้งความก้าวหน้าทางวิชาการและวิวัฒนาการของเครื่องมือทางการแพทย์ ส่งผลให้การผ่าตัดไส้ติ่งเป็นเรื่องไม่ยาก แผลเล็ก พักฟื้นไม่นาน และสามารถฟื้นตัวได้เร็ว  ด้วยวิธีผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก (MIS)

 

วิธีการผ่าตัดรักษาไส้ติ่งอักเสบด้วยการส่องกล้อง แพทย์จะทำการเจาะรูเล็กๆ และสอดกล้องเข้าไปในช่องท้องบริเวณใต้สะดือ เมื่อพบว่าไส้ติ่งอักเสบ  แพทย์จะทำการตัดเส้นเลือดที่เลี้ยงไส้ติ่ง รวมทั้งตัดไส้ติ่งออก เย็บปิดแผลซึ่งมีขนาดเล็กเพียง 1-2 เซนติเมตร การผ่าตัดผ่านกล้อง ศัลยแพทย์สามารถเห็นอวัยวะที่ต้องการผ่าตัดผ่านจอภาพ ซึ่งขยายใหญ่เห็นชัดเจนทำให้มีความแม่นยำสูง

 

การดูแลหลังการผ่าตัดไส้ติ่ง

หลังผ่าตัดผู้ป่วยควรปฏิบัติ ดังนี้

  • รับประทานอาหารอ่อนและย่อยง่ายในช่วงแรก
  • พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
  • พบแพทย์ตามนัด เพื่อติดตามผล กรณีพบสิ่งผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที

 

การพักฟื้นและฟื้นตัวหลังผ่าตัดไส้ติ่ง

ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้านได้ภายในเวลา 2 วัน การนอนพักฟื้นในโรงพยาบาลเพื่อดูแลหลังผ่าตัด โดยมีการให้ยาฆ่าเชื้อ เฝ้าระวังอาการแทรกซ้อน กรณีผ่าตัดแบบส่องกล้อง ผู้ป่วยจะสามารถลุกขึ้นเดินได้หลังผ่าตัดภายใน 1 วัน โดยแผลผ่าตัดจะค่อยๆ ดีขึ้น ดังนี้

 

  • แผลผ่าตัด บริเวณผิวหนัง 7 วัน  ซึ่งแพทย์เย็บปิดแผลด้วยไหมละลาย
  • แผลในชั้นกล้ามเนื้อที่เจาะผ่าน จะแข็งแรงเต็มที่ภายใน 1 เดือน

 

ทั้งนี้ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติ หลังจากผ่าตัดประมาณ  2-3 วัน กรณีที่ผู้ป่วยทำงานที่ต้องใช้แรง เช่น นักกีฬา หรือต้องยกของหนักมากกว่า 15 กิโลกรัม ควรพักจนกว่าแผลในชั้นกล้ามเนื้อจะแข็งแรง ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ผู้ที่ชอบออกกำลังกายควรต้องรอหลัง 1 เดือน  เช่นกัน

SHARE