
โรคเก๊าท์ เกิดจากความผิดปกติของระบบเมตาโบลิซึม ภายในร่างกาย ทำให้ร่างกายมีกรดยูริคสูงกว่าปกติ 3-5 เท่า นอกจากนั้นร่างกายยังไม่สามารถขับกรดยูริคให้ลดลงได้ เมื่อกรดยูริคในร่างกายสูง และเกิดการตกผลิกเป็นก่อนนิ่วจับอยู่ตามข้อทำให้มีอาการปวดข้อและเกิดการอักเสพ โดยเฉพาะนิ้วหัวแม่เท้าลุกลามจนถึงหัวเข่า ศอก และข้อ ในส่วนต่างของร่างกาย กรดยูริคนี้ หากเกาะอยู่ในทางเดินปัสสาวะจะทำให้เกิดนิ่วในไตได้
โรคเก๊าท์ เกิดจากความผิดปกติของระบบเมตาโบลิซึม ภายในร่างกาย ทำให้ร่างกายมีกรดยูริคสูงกว่าปกติ 3-5 เท่า นอกจากนั้นร่างกายยังไม่สามารถขับกรดยูริคให้ลดลงได้ เมื่อกรดยูริคในร่างกายสูง และเกิดการตกผลิกเป็นก่อนนิ่วจับอยู่ตามข้อทำให้มีอาการปวดข้อและเกิดการอักเสพ โดยเฉพาะนิ้วหัวแม่เท้าลุกลามจนถึงหัวเข่า ศอก และข้อ ในส่วนต่างของร่างกาย กรดยูริคนี้ หากเกาะอยู่ในทางเดินปัสสาวะจะทำให้เกิดนิ่วในไตได้
โดยปกติร่างการของคนเราจะมีระดับกรดยูริคในเลือด
- ในผู้ชาย ประมาณ 3.67-7.7 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ในผู้หญิง ประมาณ 2.8-6.8 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
แหล่งของกรดยูริคในร่างกาย
- จากการรับประทานอาหาร มีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3
- จากการสังเคราะห์ในร่างกายมีสัดส่วนประมาณ 2 ใน 3
โรคเก๊าท์รักษาได้หรือไม่
โรคเก๊าท์เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายจากอาการปวดข้อได้ แต่ภาวะกรดยูริคสูง จำเป็นต้องควบคุมดูแล ต่อเพื่อป้องกันผลข้างเคียง ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อไต โดยแบ่งลักษณะของการรักษาได้ดังนี้
- ให้ยาลดกรดยูริคที่เป็นสาเหตุของโรคและติดตามระดับของกรดยูริคในเลือดเป็นระยะ
- ให้ยาลดการอักเสบของข้อเพื่อลดความเจ็บปวด
- ให้ยาป้องกันไม่ให้โรคกำเริบต่ออีกประมาณ 1-2 ปีหรือจนกว่าไม่มีอาการกำเริบ
ผู้ป่วยโรคเก๊าท์มักจะมี ภาวะทางโภชนาการไม่ดี และมีจำนวนไม่น้อยที่ อาจเป็นโรคอื่นร่วมด้วย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคอ้วน เป็นต้น ดังนั้นจึงควรรักษาโรคที่เป็นอยู่ ควบคู่กับการรักษาโรคเก๊าท์ด้วย เช่น ถ้าอ้วนควรจะลดน้ำหนักโดยการออกกำลังกาย และรับประทานอาหารให้เหมาะสม แต่ไม่ใช่การอดอาหาร เพราะจะทำให้เกิดการสลายของเนื้อเยื่อ และเป็นการเพิ่มปริมาณกรดยูริค
อาหารสําหรับโรคเก๊าท์
อาหารที่มีพิวรีนสูง
( ควรงดหรือรับประทานให้น้อย )
(ปริมาณพิวรีน>150มก./อาหาร100g)
คาร์โบไฮเดรต
- ขนมปังที่มีเนย หรือไขมันสูง ใส่เชื้อยีสต์
โปรตีน
- เครื่องในสัตว์ ( หัวใจ ตับ กึ๋น ไต สมอง )
- เนื้อไก่ เป็ด ห่าน ( ปีก น่อง และข้อ )
- ปลา ( แอนโชวี่ แมคเคอเรล กระตัก ดุก ซาร์ดีน ไส้ตัน ) และไข่ปลา
- กุ้งชีแฮ้ หอย
ไขมัน และน้ำซุป
- น้ำเกรวี่ น้ำต้มกระดูก น้ำซุปต่างๆ
- น้ำสกัดจากเนื้อสัตว์
ผัก/ผลไม้
- ยอดผัก ( กระถิน ชะอม ฟักแม้ว ฟักทอง ตำลึง )
- เห็ด
- ผลอโวคาโด้
เครื่องปรุง
- กะปิ น้ำปลา ซุปก้อน
อาหารที่มีพิวรีนปานกลาง
( รับประทานได้บ้าง )
(ปริมาณพิวรีน 50-150 มก. / อาหาร 100g)
คาร์โบไฮเดรต
- ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี ธัญพืช รำข้าว ข้าวที่ไม่ขัดขาว
โปรตีน
- เนื้อหมู เนื้อวัว แฮม
- เนื้ออกไก่
- ปลา ( กะพงแดง แซลมอน ปลาทูน่า )
- ปู ปลาหมึก
ไขมันและน้ำซุป
- น้ำซุปเนื้อสัตว์
ผัก/ผลไม้
- ใบขี้เหล็ก สะตอ ผักโขม หน่อไม้
เครื่องปรุง
- เกลือ พริก มายองเนส น้ำซอส
อาหารที่มีพิวรีนต่ำ
(ปริมาณพิวรีน 0-50 มก. / อาหาร 100g)
คาร์โบไฮเดรต
- ข้าวไม่ขัดขาว ก๋วยเตี๋ยว พาสต้า มันฝรั่ง
โปรตีน
- เนื้อแกะ ไข่
- เนยถั่วลิสง เมล็ดเกาลัด
- นม และ ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ
ไขมันและน้ำซุป
- น้ำซุปผัก
ผัก/ผลไม้
- ดอกกะหล่ำ ธัญพืช
- ผลไม้เปลือกแข็งทุกชนิด
เครื่องปรุง
- น้ำสลัดซอสครีม
โรคเก๊าท์คืออะไร?
โรคเก๊าท์ คือ โรคข้ออักเสบชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดมาจากการสะสมของกรดยูริกในร่างกายที่มากเกินไป อยากให้ทำความเข้าใจก่อนว่ากรดยูริกเป็นของเสียที่ร่างกายสร้างขึ้นจากการย่อยสลายสารพิวรีน ซึ่งพบได้ในอาหารบางชนิด เมื่อกรดยูริกมีปริมาณมากเกินไป จะตกผลึกและสะสมในข้อต่อ ทำให้เกิดการอักเสบ ปวด บวม และแดง
อาการของโรคเก๊าท์
อาการของโรคเก๊าท์มักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงกลางคืนหรือช่วงเช้า อาการปวดอาจเป็น ๆ หาย ๆ หรือเรื้อรัง ดังนี้
– ปวดข้ออย่างรุนแรง โดยเฉพาะที่นิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า ข้อเข่า และข้อมือ
– อาการปวดมักรุนแรงมากจนทนไม่ได้ แม้แต่สัมผัสเบา ๆ
– ข้อต่อบวม แดง และร้อน
– ข้อต่อเคลื่อนไหวได้จำกัด การอักเสบทำให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้ยาก หรือเคลื่อนไหวไม่ได้เลย
การวินิจฉัยโรคเก๊าท์
การวินิจฉัยทางการแพทย์ ในเบื้องต้นแพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับอาการปวดข้อ ลักษณะการปวด ระยะเวลาที่เป็น และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น ประวัติครอบครัว การรับประทานอาหาร และการดื่มแอลกอฮอล์ หลังจากนั้นจะเช็กลักษณะการบวม แดงของข้อต่อ และกดหรือสัมผัสบริเวณข้อต่อเพื่อประเมินความเจ็บปวดและความอ่อนโยนของข้อต่อ นอกจากนี้จะอาศัยการตรวจวัดระดับกรดยูริกในเลือด การ X-ray การตรวจอัลตราซาวนด์ และการตรวจ Dual energy CT scan เป็นการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้แพทย์เห็นผลึกของกรดยูริกที่ตกตะกอนอยู่ในข้อได้โดยไม่จำเป็นต้องเจาะน้ำออกมาตรวจ เพื่อผลการวินิจฉัยที่แม่นยำ
การรักษาโรคเก๊าท์
การรักษาโรคเก๊าท์มีเป้าหมายเพื่อลดอาการปวดและการอักเสบ รวมถึงป้องกันการกำเริบของโรคในอนาคต ดังนี้
– ยาแก้ปวดและลดการอักเสบ เช่น ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) และคอลชิซิน
– ยาลดระดับกรดยูริก เช่น อัลโลพูรินอลและเฟบิวโซสแตท
– การประคบเย็นเพื่อลดอาการปวดและการอักเสบ
– การพักผ่อนและหลีกเลี่ยงการใช้ข้อต่อที่ได้รับผลกระทบ
การป้องกันโรคเก๊าท์
การป้องกันโรคเก๊าท์ทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น
– ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
– ดื่มน้ำให้เพียงพอ
– หลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เนื้อแดง เครื่องในสัตว์ และอาหารทะเล
– ลดการดื่มแอลกอฮอล์
– ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคเก๊าท์ (FAQ)
โรคเก๊าท์สามารถรักษาหายขาดได้หรือไม่?
โรคเก๊าท์ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการและป้องกันการกำเริบของโรคได้ด้วยการรักษาและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต
ควรกินอะไรเมื่อเป็นโรคเก๊าท์?
ผู้ที่เป็นโรคเก๊าท์ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เนื้อแดง เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ควรเน้นรับประทานอาหารที่มีพิวรีนต่ำ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนย
โรคเก๊าท์ต่างจากข้ออักเสบชนิดอื่นอย่างไร?
โรคเก๊าท์เป็นข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในข้อต่อ ในขณะที่ข้ออักเสบชนิดอื่นอาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อ การบาดเจ็บ หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง