
ภาวะหัวใจขาดเลือด เกิดจากหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจเกิดการอุดตัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจมีเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติจนอาจนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายได้
อาการของภาวะหัวใจขาดเลือดมีอะไรบ้าง ?
- อาการเจ็บแน่นหน้าอก โดยเฉพาะเวลาออกแรง ลักษณะแน่นหรือเจ็บลึก ๆ บริเวณตรงกลางหรือด้านซ้ายของหน้าอก อาจร้าวไปที่ไหล่ คอ ขากรรไกร แขนซ้าย พักแล้วอาการเจ็บหน้าอกอาจดีขึ้น
- เหนื่อยง่าย หายใจไม่สะดวก
- เหงื่อแตก ใจสั่น
- หน้ามืด เป็นลม
- คลื่นไส้ อาเจียน
ใครบ้างที่มีความเสี่ยงเกิดภาวะหัวใจขาดเลือด ?
ภาวะหัวใจขาดเลือดเกิดจากหลายปัจจัยเสี่ยง โดยคนที่มีปัจจัยเสี่ยงมากจะมีโอกาสเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดได้มากกว่าคนที่ไม่มีหรือมีปัจจัยเสี่ยงน้อยกว่า ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือ
- เพศชายมีโอกาสเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดมากกว่าเพศหญิง
- อายุมากกว่า 45 ปี ในเพศชาย และมากกว่า 55 ปีในเพศหญิง
- โรคเบาหวาน
- ภาวะไขมันในเลือดสูง
- โรคความดันโลหิตสูง
- ภาวะอ้วนลงพุง
- ไม่ออกกำลังกาย
- การสูบบุหรี่
- ความเครียด
- มีประวัติพันธุกรรมภาวะหัวใจขาดเลือดในครอบครัว
ตรวจวินิจฉัยอย่างไรเมื่อสงสัยภาวะหัวใจขาดเลือด ?
เมื่อผู้ป่วยมีอาการที่สงสัยภาวะหัวใจขาดเลือด แพทย์จะพิจารณาใช้วิธีการเพื่อตรวจวินิจฉัยต่าง ๆ ในผู้ป่วยแต่ละรายตามอาการ ความรุนแรง ความเสี่ยง ระยะเวลาของการเกิดโรค โดยวิธีการตรวจที่สำคัญมีดังนี้
- การซักประวัติและการตรวจร่างกายอย่างละเอียดจากแพทย์
- การตรวจเลือดดูระดับ cardiac enzyme สะท้อนให้เห็นถึงการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหัวใจที่ขาดเลือดไปเลี้ยง และการตรวจเลือดเพื่อดูปัจจัยเสี่ยงร่วมอื่น ๆ เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจทั้งในขณะพัก และการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลัง (Exercise Stress Test)
- การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (Echocardiography) เพื่อดูขนาด รูปร่าง ของหัวใจ ลิ้นหัวใจ หลอดเลือดแดงใหญ่ วัดการบีบตัวของหัวใจ วัดความเร็วและแรงดันที่จุดต่าง ๆ ของหัวใจ
- การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Angiography) เพื่อดูการตีบของหลอดเลือดหัวใจ โดยการสอดสายสวนขนาดเล็กเข้าทางหลอดเลือดแดงให้ปลายสายสวนเข้าไปในหลอดเลือดหัวใจที่ต้องการแล้วฉีดสารทึบรังสีเข้าไปในหลอดเลือดพร้อมทั้งทำการบันทึกภาพเพื่อดูการตีบแคบของหลอดเลือดหัวใจ
- การตรวจเอ็กซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหัวใจ (Cardiac MRI) ช่วยให้เห็นโครงสร้างของหัวใจ ลักษณะกล้ามเนื้อหัวใจ และช่วยประเมินการทำงานของหลอดเลือด
ภาวะหัวใจขาดเลือดเป็นภาวะที่อันตราย ถ้าไม่สามารถรับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่เบื้องต้น อาจมีอาการรุนแรงจนนำไปสู่การเสียชีวิตได้ เราจึงควารสังเกตอาการผิดปกติอยู่เสมอ หากมีสัญญาณที่บ่งชี้หรือมีปัจจัยเสี่ยงของภาวะหัวใจขาดเลือด ควรรีบมาพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
หัวใจขาดเลือด คืออะไร?
หัวใจขาดเลือด หรือ โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Disease: CAD) คือ ภาวะที่หลอดเลือดแดงที่นำเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจเกิดการตีบแคบหรืออุดตัน ทำให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจได้รับความเสียหายและอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
ปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจขาดเลือด
ปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจขาดเลือดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ และปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้ ดังนี้
– ความดันโลหิตสูง
– ไขมันในเลือดสูง
– โรคเบาหวาน
– การสูบบุหรี่
– การขาดการออกกำลังกาย
– ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน
– ประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ
– อายุที่มากขึ้น
วิธีรักษาหัวใจขาดเลือด ให้ปลอดภัยและได้ผล
การรักษาโรคหัวใจขาดเลือดมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูการไหลเวียนของเลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจ ลดอาการ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น โดยทั่วไปมีวิธีการรักษาดังนี้
1. การรักษาด้วยยา
– ยาต้านเกล็ดเลือด (Antiplatelet drugs) เช่น แอสไพริน (Aspirin) หรือโคลพิโดเกรล (Clopidogrel) ช่วยป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดหัวใจ
– ยาไนเตรต (Nitrates) เช่น ไนโตรกลีเซอรีน (Nitroglycerin) ช่วยขยายหลอดเลือดและลดอาการเจ็บหน้าอก
– ยาเบต้าบล็อกเกอร์ (Beta-blockers) ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต ลดการทำงานของหัวใจ
– ยาลดไขมัน (Statins) ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ลดการสะสมของคราบพลัคในหลอดเลือด
– ยากลุ่ม ACE inhibitors ช่วยลดความดันโลหิต และป้องกันภาวะหัวใจล้มเหลว
2. การทำหัตถการ
– การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน (Percutaneous Coronary Intervention: PCI) เป็นการใส่สายสวนเข้าไปในหลอดเลือดหัวใจที่ตีบแคบ แล้วขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน และอาจใส่ขดลวด (Stent) เพื่อค้ำยันหลอดเลือดให้เปิดกว้าง
– การผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Bypass Grafting: CABG) เป็นการผ่าตัดต่อหลอดเลือดใหม่เพื่อเบี่ยงทางเดินเลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจส่วนที่ขาดเลือด
3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต
– การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี ปลา และไขมันดี หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ และคอเลสเตอรอลสูง
– การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
– การควบคุมน้ำหนัก รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
– การงดสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคหัวใจขาดเลือด
– การจัดการความเครียด ฝึกการผ่อนคลาย เช่น โยคะ หรือการทำสมาธิ
หัวใจขาดเลือด ป้องกันได้หรือไม่?
โรคหัวใจขาดเลือดสามารถป้องกันได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ดังนี้
– ควบคุมความดันโลหิต ตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในการควบคุมความดันโลหิต
– ควบคุมระดับไขมันในเลือด ตรวจระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์เป็นประจำ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในการควบคุมระดับไขมันในเลือด
– ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด หากเป็นโรคเบาหวาน ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
– งดสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคหัวใจขาดเลือด
– ควบคุมน้ำหนัก รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
– จัดการความเครียด หาทางผ่อนคลายความเครียด เช่น การออกกำลังกาย โยคะ หรือการทำสมาธิ
– ตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำ เพื่อตรวจหาความเสี่ยงและรับคำแนะนำจากแพทย์
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหัวใจขาดเลือด (FAQ)
คนที่ไม่มีอาการหัวใจขาดเลือด ควรตรวจเช็กสุขภาพหัวใจไหม?
คนที่ไม่มีอาการหัวใจขาดเลือด ควรตรวจเช็กสุขภาพหัวใจ เพราะแม้ว่าจะไม่มีอาการของโรคหัวใจขาดเลือด แต่การตรวจสุขภาพหัวใจเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะโรคหัวใจเป็นภัยเงียบที่อาจไม่แสดงอาการจนกว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือหัวใจวาย
การทำบอลลูนกับบายพาสหัวใจ แบบไหนดีกว่ากัน?
การทำบอลลูนและการผ่าตัดบายพาสหัวใจเป็นสองวิธีหลักในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ดังนี้
การทำบอลลูน (PCI)
ข้อดี
– เป็นการรักษาวิธีที่แผลเล็ก ฟื้นตัวไว
– ใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลน้อยกว่า
– ความเสี่ยงน้อยกว่าการผ่าตัด
– ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า
ข้อเสีย
– มีโอกาสที่หลอดเลือดจะตีบซ้ำได้มากกว่า
– ไม่เหมาะกับผู้ที่มีหลอดเลือดตีบหลายเส้น
การผ่าตัดบายพาสหัวใจ (CABG)
ข้อดี
– เหมาะกับผู้ที่มีหลอดเลือดตีบหลายเส้น
-โอกาสตีบซ้ำน้อยกว่าในบางกรณี
– ผลระยะยาวอาจดีกว่าในผู้ป่วยบางราย
ข้อเสีย
– เป็นการผ่าตัดใหญ่ มีความเสี่ยงมากกว่า
– ใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า
– มีแผลผ่าตัดใหญ่
-ค่าใช้จ่ายสูงกว่า
หัวใจขาดเลือดสามารถรักษาหายขาดได้ไหม?
โรคหัวใจขาดเลือดเป็นภาวะเรื้อรังที่เกิดจากการสะสมของคราบพลัคในหลอดเลือดแดงที่นำเลือดไปเลี้ยงหัวใจ แม้ว่าการรักษาทางการแพทย์จะช่วยควบคุมอาการและชะลอการลุกลามของโรคได้ แต่โดยทั่วไปแล้วโรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้