ผลตามมาของโรคอ้วนความดันโลหิตสูงไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไทรกลีเซอไรด์โรคไขมันพอกผนังเส้นโลหิต และหัวใจขาดเลือดความผิดปกติของน้ำตาลในเลือดข้อเสื่อมอืดอาดเหนื่อยง่ายหอบหยุดหายใจระหว่างนอนหลับ (Sleep Apnea)ไขมันพอกตับนิ่วในถุงน้ำดีเส้นเลือดขอดแผลเรื้อรังที่ขาโลหิตคั่งแข็งตัวอุดเส้นเลือดดำโลหิตคั่งแข็งตัวอุดเส้นเลือดในปอดน้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลกลับขึ้นหลอดอาหารไส้เลื่อนปัสสาวะราดในผู้หญิงประจำเดือนไม่มามีบุตรยาก (ในผู้หญิง)มะเร็งของเยื่อบุมดลูกมะเร็งของเต้านมผิวหนังชื้นแฉะ เป็นฝีง่ายตามข้อพับประสบอุบัติเหตุง่ายมีปัญหาทางเศรษฐกิจและจิตใจ
ภาวะอ้วนทำให้เกิดโรค และความผิดปกติต่างๆ ได้มาก หรือเร็วกว่าคนไม่อ้วน ได้แก่
- ความดันโลหิตสูง : พบว่าถ้าลดน้ำหนักโดยยังมีปริมาณเกลือในอาหารเท่าเดิมก็ลดความดันโลหิตลงได้
- เบาหวานชนิดไม่พึ่งพาอินซูลิน : ความอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานชนิดนี้ที่รุนแรงสุดกว่าปัจจัยใดๆ
- ไขมันในเลือดผิดปกติ
- โรคหลอดเลือดตีบ (Atherosclerosis) : เช่น หลอดเลือดสมองตีบ ทำให้เกิดอัมพฤกษ์อัมพาต โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยพบว่าความอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคนี้โดยตรง และยังเพิ่มความเสี่ยงโดยอ้อมจากภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ เบาหวาน และความดันโลหิตสูงด้วย
- นิ่วถุงน้ำดี และถุงน้ำดีอักเสบ
- โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis) : โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อสะโพก ข้อเข่า และยังเพิ่มโอกาสเกิดโรคข้ออักเสบจากเก๊าท์ด้วย
- มะเร็งบางชนิด : พบมากขึ้นในคนอ้วน และสัตว์ทดลองที่ถูกทำให้อ้วน จากการศึกษาของ American Cancer Society โดยอิงน้ำหนักที่คนไข้บอกเองพบว่าถ้าน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน 40% จะมีอัตรารายจากมะเร็งสูงขึ้น 33-1.55 เท่า ที่สำคัญ คือ มะเร็งเยื่อบุมดลูกเต้านม ต่อมลูกหมาก ลำไส้ใหญ่
เมตาโบลิกซินโดรมหรือซินโดรมเอ็กซ์(Metabolic Syndrome)
หรือโรคอ้วนลงพุง เป็นอาการของความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับกระบวนการเผาผลาญอาหารภายในร่างกายนั่นเอง เป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ มะเร็ง โรคความจำเสื่อม ฯลฯ
เกณฑ์การตัดสินว่าคุณเป็นโรคอ้วนลงพุงหรือไม่คือ
เส้นรอบเอวเกินมาตรฐาน(ผู้ชายมากกว่า 90 เซนติเมตร ผู้หญิงมากกว่า 80 เซนติเมตร) ความดันโลหิตมีค่ามากกว่า 130/85 มิลลิเมตรปรอท มีไขมันดี(HDL คอลเรสเตอรอล) น้อยกว่า 40 มิลลิกรัม/เดซิลิตรในผู้ชาย และ น้อยกว่า 50 มิลลิกรัม/เดซิลิตรในผู้หญิง มีไขมันไตรกลีเซอไรด์ตั้งแต่ 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป ระดับน้ำตาลในเลือดเริ่มสูงขึ้นคือ ตั้งแต่ 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป
เมตาโบลิกซินโดรม (metabolic syndrome)อาจเรียกอีกอย่างว่า อาการดื้อต่ออินซูลิน
ฮอร์โมนอินซูลินคือตัวที่นำน้ำตาลในเลือดที่ได้จากการย่อยอาหารเข้าสู่เซลล์เพื่อเปลี่ยนให้เป็นพลังงาน ถ้าร่างกายดื้อต่ออินซูลินจะทำให้น้ำตาลในเลือดไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายได้ ระดับน้ำตาลในเลือดจึงสะสมและสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นโรคเบาหวาน นอกจากนี้การดื้อต่ออินซูลินยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและเส้นเลือดในสมองตีบอีกด้วย แม้ว่าคน ๆ นั้นจะไม่เคยเป็นเบาหวานมาก่อนก็ตาม
การป้องกันและรักษาเมตาโบลิกซินโดรม (metabolic syndrome) หรือ โรคอ้วนลงพุง
ทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย การออกกำลังกายจะช่วยป้องกันการเพิ่มของน้ำหนักตัวและช่วยให้ร่างกายใช้ฮอร์โมนอินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นควรออกกำลังกายให้ได้วันละ 30 นาที โดยการเดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือเต้นแอโรบิค การควบคุมคุณภาพและปริมาณของคาร์โบไฮเดรตเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและรักษาโรคอ้วนลงพุง พลังงานประมาณ 40-50 เปอร์เซนต์จากคาร์โบไฮเดรตควรมาจากธัญพืชไม่ขัดสี ผักและผลไม้ พลังงานอีก 40 เปอร์เซนต์ควรได้จากไขมันดีจากปลาและพืชเช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันปลา พลังงานที่เหลืออีก 10 -20 เปอร์เซ็นต์ ควรมาจากโปรตีนไขมันต่ำ อาหารทะเล เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน
เมตาโบลิกซินโดรม (metabolic syndrome) หรือ โรคอ้วนลงพุง
เป็นกลุ่มอาการที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมายเช่นโรคเบาหวาน มะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ แต่ก็สามารถแก้ไขหรือป้องกันได้ด้วยการควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรต ออกกำลังกาย อย่าปล่อยให้เส้นรอบเอวเกินมาตรฐาน จะช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคต่าง ๆ ได้
ผลตามมาของโรคอ้วน
- ความดันโลหิตสูง
- ไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไทรกลีเซอไรด์
- โรคไขมันพอกผนังเส้นโลหิต และหัวใจขาดเลือด
- ความผิดปกติของน้ำตาลในเลือด
- ข้อเสื่อม
- อืดอาด
- เหนื่อยง่าย
- หอบ
- หยุดหายใจระหว่างนอนหลับ (Sleep Apnea)
- ไขมันพอกตับ
- นิ่วในถุงน้ำดี
- เส้นเลือดขอด
- แผลเรื้อรังที่ขา
- โลหิตคั่งแข็งตัวอุดเส้นเลือดดำ
- โลหิตคั่งแข็งตัวอุดเส้นเลือดในปอด
- น้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลกลับขึ้นหลอดอาหาร
- ไส้เลื่อน
- ปัสสาวะราดในผู้หญิง
- ประจำเดือนไม่มา
- มีบุตรยาก (ในผู้หญิง)
- มะเร็งของเยื่อบุมดลูก
- มะเร็งของเต้านม
- ผิวหนังชื้นแฉะ เป็นฝีง่ายตามข้อพับ
- ประสบอุบัติเหตุง่าย
- มีปัญหาทางเศรษฐกิจและจิตใจ
หลักการออกกำลังกายของคนอ้วนมีดังนี้
- ถ้าใช้วิธีออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญแคลอรี่ให้ได้ผลจะต้องฝึกให้ใช้พลังงานวันละ 500 แคลอรี่ (เช่น วิ่งเหยาะติดต่อกัน 30-45 นาที , เต้นแอโรบิคแดนซ์ 45 นาที, เล่นฟุตบอล 60 นาที, ว่ายน้ำ 30 นาที) จะสามารถลดน้ำหนักได้สัปดาห์ละประมาณ ครึ่งกิโลกรัม
- ถ้าใช้วิธีออกกำลังกายควบคู่กับการจำกัดอาหารควรฝึกออกกำลังกายที่ใช้พลังงานวันละ 250 แคลอรี่ (วิ่งเหยาะประมาณ 15 นาที , แอโรบิคแดนซ์ 25-30 นาที, ว่ายน้ำ 12-15 นาที, เดินเร็ว 45 นาที) และตัดพลังงานออกจากอาหารวันละ 250 แคลอรี่
- การออกกำลังกายควรใช้กล้ามเนื้อชิ้นใหญ่ ได้แก่ บริเวณลำตัว, แขน, ขา และหลัง
- การออกกำลังกายที่จะเผาผลาญไขมันได้แท้จริงต้องออกกำลังกายเป็นเวลา 2 ชั่วโมงขึ้นไป เช่น วิ่งมาราธอน ดังนั้นการออกกำลังกายใด ๆ ที่อ้างว่าละลายไขมันจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะไขมันจะถูกเผาผลาญต้องเป็นไปตามกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเคมีภายในร่างกาย การใช้เครื่องปั่นตะโพก,สายรัดหน้าท้อง, แผ่นยางร้อนวางไว้ที่หน้าท้อง การบริหารกายเฉพาะส่วน เช่น ลุก-นั่ง (ซิต-อัพ) จึงไม่มีผลในการเผาผลาญไขมัน ซึ่งถ้าจะใช้วิธีการออกกำลังกายในลักษณะนี้คนอ้วนทั่วไปจะทำไม่ได้ เนื่องจากต้องใช้ความพยายามสูง และอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอันเป็นผลมาจากความไม่เคยชินกับสภาพการฝึกหนักเช่นนี้
- ควรปรับวิถีชีวิตให้เป็นคนคล่องแคล่วว่องไว เดินแทนการใช้รถยนต์หรือลิฟต์ โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารควรได้เดินยืดเส้นยืดสายเพื่อช่วยสร้างนิสัยให้เป็นคนคล่องตัว, กระฉับกระเฉง
- การออกกำลังสำหรับคนอ้วนต้องระวังการกระแทกหรือการกระโดด ซึ่งจะทำให้ข้อเข่าอักเสบเพราะทานแรงกดของน้ำหนักตัวที่กดลงมาตรงข้อเข่าไม่ได้ กระโดดเชือกจึงไม่เหมาะสำหรับคนอ้วน
- การออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับคนอ้วนที่เริ่มต้นออกกำลังกายหรือจะใช้ตลอดไปก็คือ การเดินทุกวัน วันละ 30 นาทีติดต่อกัน เดินในลักษณะเดินเร็ว แกว่งแขนให้สลับกับเท้าที่ก้าวเดิน สาวเท้ายาว เหวี่ยงแขนสูง จะเดินช่วงเช้าหรือเย็นก็ได้ ถ้าเป็นเวลาเดียวกันทุกวันจะสร้างนิสัยความเคยชินให้กับร่างกายได้ดีกว่าการเดินตามสะดวกใจ และควรบรรจุการเดินเร็ววันละ 30 นาที ให้เป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งของชีวิต ฝึกให้ได้ทุกวันจนทำเป็นอัตโนมัติ โดยอาจเปิดเพลงประกอบ ฟังวิทยุชนิดที่เสียบหูฟังได้ (ซาวน์อเบาด์) เดินในสวนสาธารณะ เดินชายทะเล หรือเดินในบรรยากาศที่เอื้ออำนวยให้เดินอย่างสุขใจ
- ถ้าเป็นการเล่นกีฬาควรอบอุ่นร่างกายก่อนเล่น 5 นาที ฝึก 20-25 นาที และผ่อนคลายอีก 5 นาที เช่นว่ายน้ำ แบดมินตัน เทเบิลเทนนิส เทนนิส สค็อช ฝึกให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง การเล่นกอล์ฟสัปดาห์ละ 1 ครั้งไม่ได้ผลดีต่อการลดน้ำหนัก เพราะขาดความต่อเนื่องในเรื่องความสม่ำเสมอของเวลา
- การเลือกกิจกรรมการออกกำลังกายถ้าเลือกได้หลากหลายวิธี วิธีที่ง่าย วิธีที่สะดวก ทำแล้วใจสบาย ฝึกแล้วได้ผลดีมีความก้าวหน้า ทำตามความถนัดและความสนใจจะเกิดแรงจูงใจให้ฝึกด้วยความสนุกสนานพึงพอใจและทำให้ฝึกได้ต่อเนื่อง ไม่เลิกหรือถอนตัวกลางคันเพราะเซ็งหรือเบื่อหน่ายไปเสียก่อน
- สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนอ้วนก่อนเข้าโปรแกรมออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา ควรพบแพทย์ตรวจสุขภาพเพื่อทราบข้อจำกัดของตัวเอง จะได้ป้องกันและฝึกด้วยความปลอดภัย
Wellness Center โรงพยาบาลสินแพทย์ รามอินทรา ดูแลโดย…ทีมแพทย์เฉพาะทาง
เวชศาสตร์ชะลอวัยและพัฒนาสุขภาพ
พบแพทย์เฉพาะทาง ศูนย์อายุรกรรม โรงพยาบาลสินแพทย์
ที่ โรงพยาบาลสินแพทย์ สาขาใกล้บ้านคุณ
(คลิก link เพื่อนัดพับแพทย์เฉพาะทาง)
พบแพทย์เฉพาะทาง ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู และ กายภาพบำบัด
ที่ โรงพยาบาลสินแพทย์ สาขาใกล้บ้านคุณ
(คลิก link เพื่อนัดพับแพทย์เฉพาะทาง)