รู้จัก “โรคหัด” ไข้ออกผื่นที่พบบ่อย

12 ก.ย. 2566 | เขียนโดย โรงพยาบาลสินแพทย์ รามอินทรา

โรคหัด เป็นโรคไข้ออกผื่นที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก แต่ก็สามารถพบได้ทั้งในเด็กโตและผู้ใหญ่ พบได้ตลอดทั้งปี แต่พบบ่อยในช่วงฤดูหนาวและฤดูฝน ติดต่อกันผ่านทางเดินหายใจและการสัมผัส เป็นโรคที่มักมีอาการไม่รุนแรง สามารถหายเองได้ แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจพบภาวะแทรกซ้อนได้



โรคหัด เกิดจากอะไร ?

โรคหัด เกิดจากการติดเชื้อ Measles ซึ่งเป็น RNA ไวรัสในกลุ่ม Paramyxovirus ติดต่อโดยการรับเอาละอองสารคัดหลั่งจากจมูกและปากของผู้ติดเชื้อเข้าไปผ่านทางการหายใจ ไอ จาม หรือสัมผัสโดยตรง

 

โรคหัดมีอาการอย่างไร ?

หลังผู้ป่วยได้รับเชื้อ จะมีระยะฟักตัวประมาณ 8-12 วัน จากนั้นผู้ป่วยจะมีอาการต่าง ๆ ดังนี้

  • ไข้สูง ปวดตัว
  • น้ำมูก คัดจมูก ไอ จาม
  • ตาแดง น้ำตาไหล ไวต่อแสง
  • อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ถ่ายเหลว
  • ผื่นแดง จะขึ้นหลังจากมีไข้ 3-5 วัน เริ่มจากบริเวณศีรษะ คอ ใบหน้า แล้วกระจายไปตามลำตัว แขน ขา ผื่นจะอยู่นาน 3-5 วัน จากนั้นจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีคล้ำ แล้วจางหายไป
  • ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต
  • อาจพบจุดสีขาวในกระพุ้งแก้ม

 

โรคหัดรักษาอย่างไร ?

ปัจจุบันยังไม่มียารักษาจำเพาะสำหรับโรคหัด การรักษาจึงเป็นการรักษาประคับประคอง ได้แก่

  • รักษาตามอาการ เช่นให้ยาลดไข้ ยาแก้ไอ ยาแก้แพ้
  • นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
  • ให้สารน้ำและสารอาหารอย่างเพียงพอ
  • เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน

 

ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัดมีอะไรบ้าง ?

ผู้ป่วยโรคหัดส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่ผู้ป่วยบางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา ผู้ที่มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนมากกว่าคนทั่วไป ได้แก่ เด็กทารก หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน หรือยาเคมีบำบัด ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน ภาวะแทรกซ้อนที่พบ ได้แก่

  • ปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบ
  • หูชั้นกลางอักเสบ
  • เยื่อบุตาอักเสบ
  • สมองอักเสบ
  • ท้องร่วงอาเจียนจนมีภาวะขาดน้ำ
  • ภาวะชักจากไข้สูงในเด็กเล็ก
  • ติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน

 

วิธีป้องกันโรคหัดทำอย่างไร ?

โรคหัดสามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด ซึ่งเป็นวัคซีนรวมร่วมกับวัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมัน และโรคคางทูม แนะนำให้ฉีดเข็มแรกในเด็กอายุ 9-12 เดือน และฉีดเข็มที่สองเมื่ออายุ 2.5 ปี จากนั้นองค์การอนามัยโลกยังแนะนำให้ฉีดเข็มกระตุ้นทุก ๆ 10 ปี เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน

SHARE