รู้จักกับโรคโครห์น…สาเหตุของลำไส้อักเสบเรื้อรัง !!!

21 มิ.ย. 2567 | เขียนโดย โรงพยาบาลสินแพทย์ รามอินทรา

โรคโครห์น (Crohn's Disease) คือ โรคที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุในระบบทางเดินอาหาร โดยสามารถเกิดการอักเสบของทางเดินอาหารได้ทุกส่วนตั้งแต่ช่องปากไปจนถึงทวารหนัก แต่การอักเสบมักพบบ่อยบริเวณลำไส้เล็กส่วนปลายถึงลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด



สาเหตุของโรคโครห์น คืออะไร ?

 

   ปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุของการเกิดโรคที่ชัดเจน แต่สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ได้แก่

 

  1. การตอบสนองที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์ในระบบทางเดินอาหาร
  2. กรรมพันธุ์
  3. เชื้อชาติ มักพบในคนยุโรปมากกว่าคนเอเชีย 
  4. อายุ มักพบคนที่มีอายุน้อยกว่า 30 ปี
  5. การสูบบุหรี่
  6. สภาพแวดล้อม ผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนเมืองมีแนวโน้มเป็นโรคสูงกว่าผู้ที่อาศัยในชนบท 
  7. การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงหรืออาหารขัดสี

 

 

อาการของโรคโครห์น เป็นอย่างไร ?

  • ปวดท้องเรื้อรัง
  • ท้องเสีย
  • มีไข้
  • ถ่ายอุจจาระมีเลือดปน
  • แผลร้อนใน ในปาก 
  • แผลหรือฝีที่ทวารหนัก
  • เบื่ออาหาร
  • น้ำหนักลด
  • อ่อนเพลีย โลหิตจาง

 

 

วินิจฉัยโรคโครห์น ทำอย่างไร ?

 

   นอกจากการซักประวัติและการตรวจร่างกาย แพทย์ต้องอาศัยการตรวจเพิ่มเติม ๆ ต่างเพื่อช่วยวินิจฉัยแยกโรค ดังนี้

 

  1.  ตรวจเลือด เพื่อตรวจหาการติดเชื้อหรือการอักเสบที่เกิดขึ้นในร่างกาย ตรวจหาภาวะโลหิตจาง และภาวะขาดสารอาหาร
  2.  ตรวจอุจจาระ เพื่อตรวจหามูกเลือดที่ปนมากับอุจจาระ และตรวจหาการติดเชื้อ
  3.  การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) โดยการใช้กล้องส่องตรวจภายในลำไส้ใหญ่ผ่านทางทวารหนักและสามารถนำตัวอย่างเนื้อเยื่อไปตรวจเพื่อช่วยยืนยันการวินิจฉัย
  4.  การตรวจลำไส้เล็กด้วยการกลืนกล้องแคปซูล (Capsule Endoscopy) โดยให้ผู้ป่วยกลืนแคปซูลที่มีกล้องเข้าไป แคปซูลจะส่งสัญญาณภาพไปยังเครื่องบันทึก ทำให้สามารถเห็นภาพในลำไส้ได้จากคอมพิวเตอร์
  5.  ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) ช่องท้อง 
  6.  ตรวจเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ช่องท้อง

 

 

รักษาโรคโครห์นทำอย่างไร  ?

 

   ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคโครห์นให้หายขาดได้ เป้าหมายในการรักษาคือการพยายามลดการอักเสบในระบบทางเดินอาหารให้โรคอยู่ในระยะสงบ เพื่อลดอาการและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

 

 

1. รักษาด้วยยา 

 

  •     ยาต้านการอักเสบ ช่วยลดการอักเสบของเยื่อบุลำไส้ เช่น คอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids), ซัลฟาซาลาซีน (Sulfasalazine)
  •     ยากดภูมิคุ้มกัน เพื่อกดระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายไม่ให้สร้างสารที่ทำให้เกิดการอักเสบ เช่น อะซาไธโอพรีน (Azathioprine), กลุ่มยายับยั้งทีเอ็นเอฟ (TNF inhibitors), เมอร์เเคปโตพิวรีน (Mercaptopurine) 
  •     ยาปฏิชีวนะ เช่น เมโทรนิดาโซล (Metronidazole), ซิโปรฟลอกซาซิน (Ciprofloxacin)
  •     ยาบรรเทาอาการ เช่น ยาแก้ปวดท้อง ยาบรรเทาอาการท้องเสีย
  •     ธาตุเหล็กและวิตามินบี12  ในผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจางและขาดวิตามินบี12

   

การใช้ยาต่าง ๆ อาจมีผลข้างเคียง ผู้ป่วยจึงต้องใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด

 

 

2.การผ่าตัด

 

 

หากการรักษาอื่น ๆ ไม่ได้ผล แพทย์อาจให้การรักษาด้วยการผ่าตัดเอาลำไส้ส่วนที่เสียหายออก หลังผ่าตัดผู้ป่วยยังคงต้องได้รับการรักษาด้วยยาเพื่อลดโอกาสที่โรคจะกลับมากำเริบซ้ำ

 

 

 

 

 

 

#ศูนย์โรคปวดท้อง

#โรงพยาบาลสินแพทย์รามอินทรา

#เบื้องหลังทุกการรักษาคือความใส่ใจ

SHARE