
โรคโครห์น (Crohn's Disease) คือ โรคที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุในระบบทางเดินอาหาร โดยสามารถเกิดการอักเสบของทางเดินอาหารได้ทุกส่วนตั้งแต่ช่องปากไปจนถึงทวารหนัก แต่การอักเสบมักพบบ่อยบริเวณลำไส้เล็กส่วนปลายถึงลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด
สาเหตุของโรคโครห์น คืออะไร ?
ปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุของการเกิดโรคที่ชัดเจน แต่สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ได้แก่
- การตอบสนองที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์ในระบบทางเดินอาหาร
- กรรมพันธุ์
- เชื้อชาติ มักพบในคนยุโรปมากกว่าคนเอเชีย
- อายุ มักพบคนที่มีอายุน้อยกว่า 30 ปี
- การสูบบุหรี่
- สภาพแวดล้อม ผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนเมืองมีแนวโน้มเป็นโรคสูงกว่าผู้ที่อาศัยในชนบท
- การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงหรืออาหารขัดสี
อาการของโรคโครห์น เป็นอย่างไร ?
- ปวดท้องเรื้อรัง
- ท้องเสีย
- มีไข้
- ถ่ายอุจจาระมีเลือดปน
- แผลร้อนใน ในปาก
- แผลหรือฝีที่ทวารหนัก
- เบื่ออาหาร
- น้ำหนักลด
- อ่อนเพลีย โลหิตจาง
วินิจฉัยโรคโครห์น ทำอย่างไร ?
นอกจากการซักประวัติและการตรวจร่างกาย แพทย์ต้องอาศัยการตรวจเพิ่มเติม ๆ ต่างเพื่อช่วยวินิจฉัยแยกโรค ดังนี้
- ตรวจเลือด เพื่อตรวจหาการติดเชื้อหรือการอักเสบที่เกิดขึ้นในร่างกาย ตรวจหาภาวะโลหิตจาง และภาวะขาดสารอาหาร
- ตรวจอุจจาระ เพื่อตรวจหามูกเลือดที่ปนมากับอุจจาระ และตรวจหาการติดเชื้อ
- การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) โดยการใช้กล้องส่องตรวจภายในลำไส้ใหญ่ผ่านทางทวารหนักและสามารถนำตัวอย่างเนื้อเยื่อไปตรวจเพื่อช่วยยืนยันการวินิจฉัย
- การตรวจลำไส้เล็กด้วยการกลืนกล้องแคปซูล (Capsule Endoscopy) โดยให้ผู้ป่วยกลืนแคปซูลที่มีกล้องเข้าไป แคปซูลจะส่งสัญญาณภาพไปยังเครื่องบันทึก ทำให้สามารถเห็นภาพในลำไส้ได้จากคอมพิวเตอร์
- ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) ช่องท้อง
- ตรวจเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ช่องท้อง
รักษาโรคโครห์นทำอย่างไร ?
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคโครห์นให้หายขาดได้ เป้าหมายในการรักษาคือการพยายามลดการอักเสบในระบบทางเดินอาหารให้โรคอยู่ในระยะสงบ เพื่อลดอาการและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
1. รักษาด้วยยา
- ยาต้านการอักเสบ ช่วยลดการอักเสบของเยื่อบุลำไส้ เช่น คอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids), ซัลฟาซาลาซีน (Sulfasalazine)
- ยากดภูมิคุ้มกัน เพื่อกดระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายไม่ให้สร้างสารที่ทำให้เกิดการอักเสบ เช่น อะซาไธโอพรีน (Azathioprine), กลุ่มยายับยั้งทีเอ็นเอฟ (TNF inhibitors), เมอร์เเคปโตพิวรีน (Mercaptopurine)
- ยาปฏิชีวนะ เช่น เมโทรนิดาโซล (Metronidazole), ซิโปรฟลอกซาซิน (Ciprofloxacin)
- ยาบรรเทาอาการ เช่น ยาแก้ปวดท้อง ยาบรรเทาอาการท้องเสีย
- ธาตุเหล็กและวิตามินบี12 ในผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจางและขาดวิตามินบี12
การใช้ยาต่าง ๆ อาจมีผลข้างเคียง ผู้ป่วยจึงต้องใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด
2.การผ่าตัด
หากการรักษาอื่น ๆ ไม่ได้ผล แพทย์อาจให้การรักษาด้วยการผ่าตัดเอาลำไส้ส่วนที่เสียหายออก หลังผ่าตัดผู้ป่วยยังคงต้องได้รับการรักษาด้วยยาเพื่อลดโอกาสที่โรคจะกลับมากำเริบซ้ำ
#ศูนย์โรคปวดท้อง
#โรงพยาบาลสินแพทย์รามอินทรา
#เบื้องหลังทุกการรักษาคือความใส่ใจ